ครูสาวโอดถูกไล่ออก รับบาป ผอ.ทุจริตอาหารกลางวัน หลังเป็นจนท.ธุรการ เซ็นรับรองทั้งที่ไม่รู้
เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ซึ่งเป็นครูอยู่ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในจ.กาญจนบุรี ระบุว่า ต้องให้ครูไทยตายเพราะการเป็นเจ้าหน้าที่การเงินอีกกี่คน ข้าพเจ้านางสาวกนกรัตน์—- ปัจจุบันเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ใน อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี เมื่อปี พ.ศ.2555 ข้าพเจ้าเป็นครูคศ.1ที่ไม่มีความรู้และประสบการณ์เรื่องการเงินหรือระเบียบพัสดุเลย แต่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่การเงิน โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในตำบล บ่อพลอย อำเภอบ่อพลอย จ.กาญจนบุรี ตามคำสั่งแต่ในทางปฏิบัติข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้เซ็นชื่อร่วมกับ ผอ.ในใบเบิกถอนเงินของโรงเรียนเท่านั้นเอกสารการเงินอื่นๆไม่ได้ทำอะไรเลย
ในตอนนั้นข้าพเจ้า เข้าใจเพียงแค่ว่ าเจ้าหน้าที่การเงิน คือ มีหน้าที่เซ็นชื่อแล้ว กระบวนการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการไปถอนเงินที่ธนาคาร หรือการจ่ายเงินให้ช่าง และร้านค้า ท่านผอ.เป็นคนทำเองทั้งหมด ข้าพเจ้าไม่เคยถือเงิน หรือบัญชีโรงเรียนและไม่ได้เป็นคนใช้จ่ายเงินโรงเรียนแต่อย่างใด
จนกระทั่งสพป.กจ.4 เข้ามาตรวจสอบภายใน เพราะผอ.ร.ร.ถูกร้องเรียนเรื่องการทุจริตเงินอาหารกลางวัน จนนำไปสู่การถูกตรวจสอบและถูกตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบความผิดปกติจากการเบิกเงิน (โดยไม่มีชุดจัดซื้อ) จากบัญชีเงินอุดหนุนด้วย การสอบสวนเกิดขึ้นหลายครั้งและในระดับจังหวัด ซึ่งอดีตผอ.ร.ร. ยอมรับว่านำเงินไปใช้ผิดประเภทจริง และยินยอมชดใช้เงินคืนโรงเรียน จำนวน สามแสนกว่าบาท
ส่วนผอ. ได้ถูกย้ายไปช่วยราชการและปัจจุบันเป็น ผอ.อยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในสังกัด สพป.นครปฐม.เขต1 ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเรื่องจบแล้วและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า จนวันที่ 1 พ.ย. 2565 ข้าพเจ้ากำลังไปรายงานตัวเนื่องจากย้ายไปเป็นครูที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ปปช.โทรให้ข้าพเจ้ามาที่โรงเรียนเดิม พบเจ้าหน้าที่ป.ป.ช .จ.สุพรรณบุรี มาหาข้าพเจ้า เจ้าหน้าที่ป.ป.ช.ได้สอบถามเรื่องการจ่ายเงินค่าอาหารโรงเรียน ข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจตอบไปว่าใช้เช็คค่ะ แล้วก็ถามว่าสมัยผอ.ใช้จ่ายเงินอย่างไร ข้าพเจ้าก็ตอบว่าใช้ใบแดงถอนค่ะ คือใบเบิกเงินของธนาคารแห่งหนึ่ง จากนั้นก็พูดคุยอีกนิดหน่อยแล้วกลับมาสอนที่โรงเรียน
ผ่านมาอีกสักระยะป.ป.ช.เข้ามาสอบสวนข้าพเจ้าที่โรงเรียน อีกรอบโดยนำสำเนาใบเบิกเงินมาให้ดูแล้วถามว่าใช่ลายเซ็นของข้าพเจ้าไหม ข้าพเจ้าตอบว่าใช่ และได้เล่าให้ปปช.ฟังว่าที่ผ่านมาการทำหน้าที่การเงินในตอนนั้นข้าพเจ้าแค่เพียงเซ็นชื่อร่วมกับผอ.เท่านั้นส่วนการเบิกจ่ายเป็นผอ.ทำคนเดียวทั้งหมด
ต่อมาต้นเดือนมีนาคมมีจดหมายจาก ป.ป.ช.ให้ข้าพเจ้าไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 13 มีนาคม 2566 ว่าข้าพเจ้าร่วมกับผอ. ทำผิดกฎหมายมาตราต่างๆอะไรบ้างไม่รู้เลย แต่เป็นเงินสามแสนกว่าบาทคือยอดเงินที่ผอ.เขารับว่าผิดแล้วใช้เงินคืนไปแล้ว โดยที่ข้าพเจ้ากลายเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าร่วมกับผอ.โกงเงินโรงเรียน ป.ป.ช. ให้ทำหนังสือชี้แจงและหาหลักฐานมา ข้าพเจ้าไม่ได้ทำเอกสารอะไรเลยแค่เซ็นชื่อร่วมกับผอ.อย่างเดียวจึงชี้แจงไปตามความจริงเป็นบันทึกข้อความส่งไปปปช.สุพรรณบุรี
หลังจากนั้นปี2566 มีการสอบสวนข้าพเจ้าอีกครั้งใช้สถานที่สพป.กจ.4 ข้าพเจ้าเข้าใจว่าข้าพเจ้าไม่ผิดแต่คงเป็นพยานในคดีผอ.จนเรื่องผ่านมาถึงวันที่ 1กรกฎาคม 2568 ข้าพเจ้าได้รับหนังสือจากเขตแจ้งว่าข้าพเจ้าถูกปปช.ชี้มูลความผิดว่าร่วมกับผอ.โกงเงินโรงเรียนตั้งแต่ตอนเป็นเจ้าหน้าที่การเงินเมื่อ13 ปีที่แล้ว มีความผิดวินัยร้ายแรง มีโทษปลดออกกับไล่ออก ภายใน30วัน ก่อนสิ้นเดือนนี้
ข้าพเจ้ายอมรับความผิดแค่เรื่องเดียว คือเซ็นชื่อจริง แต่ทำไปเพราะความไม่รู้ ไม่มีประสบการณ์ และทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเท่านั้น โดยข้าพเจ้าคิดว่าในตอนนั้นคือสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่ทราบข้อกฎหมาย ข้าพเจ้ารู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรมเพราะข้าพเจ้าไม่เคยถือเงินหรือใช้จ่ายเงินโรงเรียนแม้เพียงนิดเดียว ข้าพเจ้าต้องตกเป็นเหยื่อของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บริหารโรงเรียน
ข้าพเจ้าไม่มีเงินจ้างทนายมาสู้คดีเพราะทุกวันนี้ก็ทำงานเป็นครูอย่างเดียวส่งเสียลูกสองคน สามีไม่มีอาชีพเป็นพ่อบ้านแทนเรายังต้องส่งเสียพ่อแม่อีก เพราะข้าพเจ้าเป็นเสาหลักของครอบครัว ดังนั้นข้าพเจ้าจึงอยากทวงคืนความยุติธรรมให้ข้าพเจ้าด้วย ช่วยแชร์ไปให้ถึงผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการ หรือใครก็ได้ช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้หนูทีค่ะ