เมื่อวันที่ 3 เมษายน นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ กรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา(กอปศ.) ในฐานประธานอนุกรรมการเด็กเล็ก เปิดเผยภายหลังการประชุมกอปศ. ว่า ขณะนี้คณะกรรมการได้ดำเนินการยกร่างพ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ… เสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการปรับรายละเอียด และคาดว่าจะเสนอให้รัฐบาลพิจารณาได้เร็ว ๆ นี้ โดยจะมีการกำหนดคำนิยาม คำว่าเด็กปฐมวัย ไว้ในร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว ว่าหมายถึงเด็กที่มีอายุไม่เกิน 8 ขวบ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเด็กที่เหมาะสมกับช่วงวัย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการพัฒนามนุษย์ ให้มีสมรรถนะอย่างรอบด้าน รวมถึงสมองซึ่งจะต้องหาวิธีการป้องกันไม่ให้มีการยับยั้งพัฒนาการดังกล่าว ซึ่งหมายถึงการสอบ โดยเน้นสาระ ดังนั้นจะมีการกำหนดลงในกฎหมายฉบับนี้ ว่าห้ามสอบ แต่ก็จะเปิดให้มีการจัดสอบได้ในกรณีของการสอบสมรรถนะ เช่น การทดสอบพฤติกรรมเด็ก หรือสอบพ่อ แม่ เป็นต้น
นายวิริยะ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังหาแนวทางบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเด็กปฐมวัน ซึ่งเกี่ยวข้อง 4 กระทรวง คือ กระทรวงมหาไทย (มท.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยให้มีคณะกรรมการกำหนดนโยบายที่มาจาก 4 กระทรวงดังกล่าว เพื่อบูรณาการนโยบายให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งจะเชื่อมโยงไปถึงการจัดสรรงบประมาณด้วย เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จะทำหน้าที่ให้บริการงานดูแลเด็กเล็ก เชื่อมโยงกับทั้ง 4 กระทรวง
“จากการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ เห็นว่า เห็น เด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ 2 ไม่ควรเรียน 8 กลุ่มสาระ แต่ให้เน้นสมรรถนะ ซึ่งทางศธ. ก็รับลูกไปแล้ว โดยขณะนี้ได้มีการปรับปรุง วิธีการจัดการเรียนการสอนในชั้นดังกล่าว โดยไม่เน้น 8 กลุ่มสาระ ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ศธ. รับลูกและจะเดินไปพร้อมกับกอปศ.”ศ.วิริยะกล่าว
นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) กล่าวว่า กฎหมายพัฒนาเด็กปฐมวัย จะดูแลและพัฒนาเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จนถึงอายุ 8 ขวบ โดยแบ่งช่วงวัยของเด็กเป็น 1 ช่วง คือ 1 ช่วงก่อนคลอด หรือทารกในครรภ์มารดา 2 ช่วงแรกเกิดถึง 3 ปีบริบูรณ์ หรือช่วงเด็กเล็ก 3 ช่วงอายุ 3 ปีบริบูรณ์ ถึงก่อน 6 ปีบบูรณ์ เรียกว่าช่วงก่อนวัยเรียน หรือวัยอนุบาล และ4 ช่วงอายุ 6 ปีบริบูรณ์ถึงก่อน 8 ปีบริบูรณ์ เรียกว่า ช่วงรอยต่อระหว่างวัยอนุบาลกับวัย ป.1-2
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว ได้กำหนด ไว้ในมาตรา 19 วรรค 1ว่า เพื่อเป็นการปกป้องพัฒนาการของเด็กปฐมวัย ห้ามมิให้สถานศึกษาตามกฎหมายว่า ด้วยการศึกษาแห่งชาติ และโรงเรียนตามกฎหมาย ว่าด้วยโรงเรียนเอกชน รับเด็กปฐมวัยเข้าศึกษาโดยใช้วิธีการสอบคัดเลือก เว้นแต่ได้กระทำตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการนโยบายทั้ง 4 กระทรวงกำหนด และในมาตรา 19 วรรค2 ยังระบุว่า ห้ามบุคคลใดเรียกรับเงินหรือเก็บเงิน หรือผลประโยชน์อื่นใดเพื่อเป็นเงื่อนไขในการรับเด็กปฐมวัยเข้าศึกษาในระดับอนุบาลและประถมศึกษา โดยมีบทกำหนดโทษ ในมาตรา 27 ว่า ผู้ใดฝ่าฝืน มาตรา 19 วรรค 1 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5 แสนบาท และมาตรา 28 กำหนดว่า ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 19 วรรค 2 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิด 10 เท่าของเงินที่เรียกรับ หรือเงินที่เรียกเก็บหรือประโยชน์อื่นใด ทั้งนี้กำหนดให้เงินเบี้ยปรับดังกล่าว ส่งเข้ากองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา