หลายคนแสดงความเป็นห่วงกันมากว่าหลังจากนี้สังคมจะทำให้ “เด็กติดถ้ำ” เสียเด็ก หรือจะอวยกันจนเสียคนหรือไม่
“13 ชีวิต” ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ยังไม่ทันออกมาจากถ้ำ ยังไม่ทันจะได้เห็นแสงสว่าง คำถามนอกถ้ำกลับอื้ออึง
บ้างบอกว่าจะให้พาไปเที่ยวในที่ที่ไม่เคยไปดีไหม บ้างว่าหรือปั้นให้เป็นนักเตะ ให้เป็นดาวเข้าไปติดอยู่ในทีมชาติ
เด็กๆ เหล่านั้นไม่ได้รู้อะไรด้วยหรอกว่าหลังจากที่เข้าไปติดอยู่ถ้ำ 10 วันนั้น ภายนอกโกลาหลวุ่นวายกับภารกิจช่วยเหลือพวกเธออย่างไร ใครพูดชื่นชม หรือตำหนิ
เด็กๆ เข้าไปเที่ยวถ้ำกันตามประสา เพียงแต่บังเอิญฝนถล่ม น้ำทะลักเข้าท่วมถ้ำจนกลับออกมาไม่ได้ จึงต้องหนีไปหาที่สูงเท่าที่มีในถ้ำ เพียงเพื่อเอาชีวิตให้รอด ซึ่งแท้จริงแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าจะรอดหรือไม่รอด
นับว่าเป็น “โอกาสดี” ที่วิกฤตการณ์นี้มี นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ทำหน้าที่ “บัญชาการเหตุการณ์” สื่อสารข้อมูล ขอความช่วยเหลือจาก “หน่วยซีล” กองทัพเรือ พร้อมกับหลายหน่วยหลายองค์กรร่วมกันเพื่อค้นหาทั้ง 13 ชีวิต
เพียงค้นหาเจอตัวเธอในสภาพอิดโรยอ่อนแรงก็นับว่าน่ายินดีนักแล้ว
ภัยพิบัติจากธรรมชาติสามารถเกิดขึ้นได้หลากหลาย มีทั้งคาดการณ์ได้และคาดไม่ถึง จึงไม่ต้องซ้ำเติมหรือตำหนิทั้งโค้ชเอกและเด็กๆ ที่ไปติดอยู่ในถ้ำ
เพียงแต่สังคมไทยควรจะใช้เหตุการณ์นี้เป็น “บทเรียน” ในฐานะประเทศที่ชูอุตสาหกรรรมการท่องเที่ยว ให้องค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มการสื่อสารกับสังคม เพิ่มมาตรการ “ด้านความปลอดภัย” หน้าไหนฤดูกาลใด สถานที่ใดควรไป หรือไม่ควรไปเที่ยว
ส่วน 13 ชีวิตที่สังคมช่วยกันค้นหา ช่วยเหลือ ฟื้นฟู ออกมาแล้วสังคมและชุมชนก็สนับสนุนให้สามารถดำเนินชีวิตได้ในทางที่ชอบที่ควร
จะว่าไปแล้วทั้ง 13 ชีวิตควรจะขอบคุณโลกใบนี้ที่ยังมากด้วยผู้มีจิตอาสาจากทั่วสารทิศ
การพิชิตอุปสรรคแห่ง “ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน” สำเร็จไม่ใช่โชคช่วย ทั้งหมดเป็น “ผล” จากพลังของความศรัทธา เสียสละ และความเพียร !?!!