‘หมอผิวหนัง’เตือนครีมหน้าขาวเถื่อน เจอแดดระวังดำหนักกว่าเดิม

กรณีเว็บไซต์พยากรณ์อากาศของอังกฤษ weatheronline.co.uk ระบุว่า ดัชนีความเข้มข้นของรังสีอัลตราไวโอเลต (ยูวีอินเด็กซ์) ในประเทศไทยช่วงระหว่างวันที่ 14-21 เมษายน อยู่ที่ 12 ซึ่งเป็นความเสี่ยงสูงที่อาจส่งผลต่อผิวหนัง ซึ่งต่อมาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังได้แนะนำให้ประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก พร้อมแนะนำวิธีป้องกันรังสียูวีด้วยการทาครีมกันแดดและสวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว และแว่นกันแดด ซึ่งสามารถช่วยป้องกันรังสียูวีได้ พร้อมเตือนผู้ใช้เครื่องสำอางให้ผิวขาว ที่มีสารเคมีเป็นส่วนประกอบทำให้ผิวเป็นอันตรายเมื่อเจอรังสียูวี

เมื่อวันที่ 17 เมษายน นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า คนไทยมีเม็ดสีผิวหรือเมลานินมากอยู่แล้ว ซึ่งเม็ดสีจะช่วยกรองรังสียูวีได้ ทำให้ผิวหนังไม่เป็นอันตรายเมื่อเจอรังสียูวี แตกต่างจากชาติตะวันตกที่มีเม็ดสีน้อยจึงมีผิวขาว ดังนั้นเมื่อนักท่องเที่ยวมาเจอแดดในประเทศไทยจึงมักมีผิวไหม้เกรียม อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีหลายคนนิยมอยากให้ผิวขาวด้วยการฉีดสารกลูตาไธโอน หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารดังกล่าวและสารไฮโดรควิโนน เนื่องจากคุณสมบัติของกลูตาไธโอนและไฮโดรควิโนน จะยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว ทำให้เม็ดสีลดลง จึงทำให้ผิวขาวขึ้น ส่งผลให้ความสามารถของการกรองรังสียูวีลดลงด้วย ดังนั้นบริเวณผิวที่ได้รับสารกลูตาไธโอนและไฮโดรควิโนน เมื่อเจอรังสียูวีจะเป็นรอยด่างขาว มีจุดด่างดำ หรือบางคนอาจผิวดำเสีย เนื่องจากเม็ดสีถูกทำลาย ดังนั้นจึงไม่ได้ทำให้ผิวขาวขึ้นอย่างแท้จริงและปลอดภัย ซึ่งน่ากังวลที่ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารเคมีเหล่านี้มีจำหน่ายอย่างไม่ถูกกฎหมายเป็นจำนวนมาก ผ่านทางโซเชียลมีเดีย ในลักษณะครีมหน้าขาว ครีมผิวขาว โดยไม่ได้ผ่านการตรวจสอบส่วนประกอบที่ถูกต้อง จึงขอให้ประชาชนระมัดระวังการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เสริมความงามเพื่อให้ผิวขาว ซึ่งผลที่ได้รับอาจมีความรุนแรงและเป็นอันตราย และอาจเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังอีกด้วย หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน

นพ.นภดลกล่าวว่า ส่วนผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอางประเภทไวท์เทนนิ่งที่มีจำหน่ายโดยทั่วไป ประชาชนสามารถเลือกซื้อมาใช้ได้ เนื่องจากผ่านการตรวจสอบแล้วว่าไม่เป็นอันตรายและไม่ทำลายเม็ดสีผิว ส่วนใหญ่จะมีสารกันแดดเป็นส่วนประกอบหลักและมีสารที่ปกปิดผิวให้ดูขาวขึ้นเท่านั้น ไม่ได้มีสารที่ไปทำลายโครงสร้างในชั้นผิว ส่วนผู้ที่มีปัญหาผิวหน้า อาทิ ฝ้า กระ รอยด่างดำบนใบหน้า เป็นต้น ควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างถูกต้อง ซึ่งที่จริงแล้วสารไฮโดรควิโนน จะนำมาใช้กับการรักษาฝ้า แต่ควรใช้ในระยะเวลาที่จำกัด ไม่ใช้นานเกินไป จึงควรให้แพทย์เป็นผู้จ่ายยาตามความเหมาะสม ไม่ควรหาซื้อครีมทาฝ้ามาใช้เอง เนื่องจากอาจได้รับสารในปริมาณที่ไม่เหมาะสม หากได้รับมากไปก็ก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ได้ ตั้งแต่เกิดอาการระคายเคืองผิว เกิดจุดด่างขาว หน้าดำ หรือเป็นฝ้าถาวร จนไปถึงรักษาฝ้าไม่หาย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image