และแล้ว “ความ” ที่เก็บเอาไว้ในใจมานานก็จำต้องเปิดเผยออกมา
“ผมสนใจการเมือง”
คำยืนยันจากปาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้มาจาก “รัฐประหาร”
ถัดจากประโยคว่า “ผมสนใจการเมือง” ยังต่อท้ายด้วย “เพราะผมรักประเทศชาติของผม”
อ้าว! ก็แผ่นดินที่เกิด แผ่นดินที่เจริญเติบโต มีครอบครัว สร้างเนื้อสร้างตัว เป็นที่ซึ่งทุกคนก็รัก เป็นประเทศชาติของทุกคน
“ความรักชาติ” ไม่ใช่เรื่องที่จะนำมายกตนข่มท่าน หรืออวดอ้างว่าใครรักประเทศมากกว่าใคร
การประกาศตัวว่า “สนใจการเมือง” ออกมาตรงๆ เปิดเผย ไม่ซ่อนเร้นนั้นก็ดีอยู่ แต่เมื่อ “สนใจการเมือง” แล้วจะทำอะไรอย่างไรต่อไป
เมื่อมีใครคนหนึ่งทะลึ่งถามต่อว่า “เพื่อความเป็นธรรม จะลาออกจากหัวหน้า คสช.หรือไม่”
พล.อ.ประยุทธ์ตอบทันใดว่า “ไม่ออก”
บิ๊กตู่ก็เหมือนผู้นำรัฐประหารในอดีต
แรกมาก็ทำตัวเป็น “คนกลาง” พร้อมกับมีคนจำนวนหนึ่งชอบชงว่า “อัศวินขี่ม้าขาว” ผู้มาระงับยับยั้งเหตุเภทภัย
แต่พอเวลาผ่านไป “คนกลาง” ทุกรายล้วนติดใจ ไม่อยากลุกจากเก้าอี้ที่ทรงอำนาจ
พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีทางเป็นนายกรัฐมนตรีได้เลย ถ้าไม่ได้เป็น “ผบ.ทบ.” และไม่เป็น “หัวหน้า คสช.” นำกำลังพลเข้าก่อรัฐประหาร
สถานการณ์ทางการเมืองที่ถูกจุดให้ร้อนแรง เป็น “โอกาส” ที่คนกลุ่มหนึ่งบรรจงสร้างขึ้นเพื่อให้ทหารจำนวนหนึ่งก่อรัฐประหาร
ก่อนนี้ “คสช.” บอกกับสังคมว่า กองทัพไม่ใช่คู่ขัดแย้ง ไม่ฝักใฝ่หรือถวิลหาอำนาจทางการเมือง แต่เป็น “ผู้อาสา” มาระงับเหตุ
คสช. “ขอเวลาไม่นาน” เพื่อทำหน้าที่คนกลาง ประสานรอยร้าว ให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ เมื่อจัดระเบียบให้สังคมคืนกลับสู่ภาวะปกติ “แล้วจะไป”
ไม่เคยบอกเลยสักครั้งว่า รักประเทศชาติ จนไม่อาจปล่อยให้คนอื่นมาบริหารประเทศนี้ได้ คสช.มาแล้ว ไม่ไป หรือจะแปลงร่างเป็นอย่างอื่นเพื่อ “อยู่ยาว” สืบสานภารกิจอะไร
จะคิดอย่างนั้นได้อย่างไร!?
พล.อ.ประยุทธ์ยังมีเวลาที่จะได้หารือกับคนที่รัก คนที่ปรารถนาดีด้วยความจริงใจให้ช่วยคิดใคร่ครวญทบทวน
ถ้าฝักใฝ่จะมีอำนาจต่อไปก็จงประพฤติปฏิบัติให้เป็น “แบบอย่าง”
อย่าเอารัดเอาเปรียบนักการเมืองและพรรคการเมืองอื่น
ควรลาออกจากหัวหน้า คสช.!?!!
