เฮทสปีช (Hate Speech) ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย มักใช้ทับศัพท์ภาษาอังกฤษจนทำให้ภาพ “พร่ามัว”
เฮทสปีช เลวร้ายกว่าที่คิด
ถ้าลองย้อนนึกถึงประวัติศาสตร์การประทุษร้ายกันด้วยวาจาของมนุษยชาติจะพบว่า “เฮทสปีช” มักเป็น “สารตั้งต้น” ของความรุนแรง การเข่นฆ่า ทารุณกรรมและสงคราม
เริ่มจากการโจมตีใส่ร้ายด้วยคำพูด สุดแต่จะประดิษฐ์ถ้อยคำสำนวนเพื่อทำลายเป้าหมายหรือฝ่ายตรงข้าม สมัยก่อนก็ว่าพวกคอมมิวนิสต์ฆ่าได้เลยไม่บาป พวกขายชาติ คนทรยศ ภัยความมั่นคง ปลุกเร้าสร้างความเกลียดชังด้วยการแบ่งแยกเชื้อชาติ ชนชั้น ความเชื่อทางศาสนา อุดมการณ์ทางการเมือง ยุยงปลุกปั่นด้วยความเท็จ บิดเบือน ดูหมิ่นเหยียดหยามหยาบคาย
ทั้งหมดเป็นบันไดขั้นต้นที่นำไปสู่ความเคืองแค้น ทะเลาะ บาดหมาง ลุกลามจนถึงขั้นเป็นสงครามก็มี
“เฮทสปีช” เทียบได้กับ “มุสาวาทา” 1 ในศีล 5 ที่เป็นข้อ “ต้องห้ามประพฤติ” ของชาวพุทธ
เฮทสปีชจึงไม่ควรจะเจริญงอกงามในเมืองพุทธที่มากล้นไปด้วยวัดวาอารามและภิกษุสงฆ์
แต่ด้วยธรรมชาติของคนเรา เมื่อถึงยามที่ระงับยับยั้งความอยากมีอยากได้อยากเป็นทั้งหลายไม่ได้ เพียงเพื่อจะเอาชนะคะคานกัน เพื่ออำนาจและการครอบครองในสิ่งที่ต้องการ “ศีล” ทุกข้อก็ต้องสะบั้น
สิบกว่าปีมานี้ วิกฤตการณ์ทางการเมืองไทยก็มี “เฮทสปีช” เป็นจุดเริ่มต้น
การสอพลอ ใส่ร้ายป้ายสี ใช้วาทกรรมห้ำหั่นทำลายกันมักจะงอกงามในสังคมที่คนมีศีลติดอยู่แค่ริมฝีปาก
จะเห็นได้ว่า แม้ตามหลักศาสนาพุทธ การพูดเท็จ ให้ร้าย พูดหยาบ พูดยุยงปลุกปั่นให้ผู้คนเคืองแค้น เกลียดชังกันหรือมุสาเป็นสิ่ง “ต้องห้าม” แต่พระภิกษุบางรูปยังเข้าร่วมวงไพบูลย์ถึงกับเป็น 1 ในแกนนำ
ที่จริงในเวทีการเมืองนั้นมีตัวละครอยู่ไม่มากนัก
“คนสำคัญ” หรือแกนนำจะเริ่มต้นจากการปั้นเรื่อง ใส่ร้าย ป้ายสี เอาดีใส่ตัว โยนชั่วให้ฝ่ายตรงข้าม เพื่อ “สร้างความชอบธรรม”
และทุกครั้งลงด้วยการใช้กำลัง ใช้ความรุนแรง ไล่ล่าจับกุม คุมขัง ฆ่า หรือเนรเทศ
ถ้าย้อนไปทบทวนประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็จะเห็น
ทั้ง “ผู้ส่งสาร” และ “ผู้รับสาร” ต่างก็ “บทเรียน”
แต่กระทำผิดซ้ำ!?!!