สธ. จัดระบบดูแลวัยทำงานกว่า 37 ล้านคน หลังพบป่วยจากโรคประกอบอาชีพ

เมื่อวันที่ 27 เมษายน นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวมาตรการดูแลสุขภาพวัยทำงาน เนื่องในวันความปลอดภัยในการทำงานและอาชีวอนามัยสากล วันที่ 28 เมษายน และวันแรงงานแห่งชาติ 1 พฤษภาคมของทุกปี ว่า ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติเดือนมีนาคม 2559 มีวัยแรงงานที่มีงานทำ 37.61 ล้านคน และพบว่า 1 ใน 10 ของประชากรวัยแรงงานมีปัญหาสุขภาพ จากการสำรวจข้อมูลโรคจากการประกอบอาชีพปี 2553-2557 พบว่ามีปัญหาเรื่องกระดูกและกล้ามเนื้อ 72.26 ต่อแสนประชากร โรคพิษจากสารกำจัดศัตรูพืช 12.21 ต่อแสนประชากร และมีแนวโน้มป่วยเป็นโรคอ้วน โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่ต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ระหว่างอายุ 15-19 ปี ซึ่งในผู้ชายมีสาเหตุมาจากการเกิดอุบัติเหตุมากที่สุด รองลงมาคือ มะเร็ง หัวใจและหลอดเลือด ส่วนผู้หญิงเสียชีวิตจากโรคมะเร็งมากที่สุด รองลงมาโรคหัวใจและหลอดเลือดและอุบัติเหตุ เป็นต้น

“นอกจากนี้ยังพบมีปัญหาสุขภาพจิต ส่วนใหญ่มีภาวะเครียด วิตกกังวลจากโรคเรื้อรัง และภาวะหนี้สิน 6,231 ราย และมีปัญหาทางจิตเวช 4,845 ราย ปัญหาความรัก 1,600 ราย และปัญหาสัมพันธภาพในที่ทำงาน ต้องการเปลี่ยนงาน 256 ราย อย่างไรก็ตามขณะนี้ประเทศไทยมีสภาพอาการที่ค่อนข้างร้อนจัดดังนั้นขอให้ประชาชนที่ทำงานกลางแจ้งดูแลสุขภาพ และระวังโรคที่เกิดจากความร้อนด้วย” นพ.สุวรรณชัย กล่าว

นพ.บุญเลิศ ศักดิ์ชัยนานนท์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในส่วนของแรงงานในระบบประกันสังคมกระทรวงสาธารณสุขได้มีการจัดโครงการสถานประกอบการ ปลอดโรค ปลอดภัย กายใจเป็นสุข ซึ่งมีสถานประกอบการเข้าร่วม 1,800 แห่ง ผ่านการประเมิน 300 แห่ง เปิดคลินิกโรคจากการทำงานในในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป 97 แห่ง คัดกรองโรคก่อนส่งรักษาตามสิทธิ ส่วนแรงงานงานนอกระบบได้มีการตั้งคลินิกอาชีวะอนามัยในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเพื่อคัดกรองปัญหาสุขภาพหากพบผิดปกจะส่งต่อไปรักษาในโรงพยาบาลตามสิทธิต่อไป อย่างไรก็ตามแม้จะมีกฎหมายบังคับให้สถานประกอบการต้องตรวจสุขภาพลูกจ้างปีละ 1 ครั้งก็จริง แต่ที่ผ่านมาขาดการนำตัวเลขมาวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ ดังนั้นจึงต้องเร่งสร้างฐานข้อมูลดังกล่าวเพิ่มขึ้นด้วย

นพ.สมพงษ์ ชัยโอภานนท์ นักวิชาการสาธารณสุข ด้านโภชนาการ กรมอนามัย กล่าวว่า ขอให้ประชาชนเน้นการรับประทาเน้นการรับประทานอาหารเช้าด้วยเพราะเป็นมื้อที่สำคัญ หากไม่รับประทานจะทำให้ร่างกายขาดน้ำตาล ทำให้อารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียว กระทบต่อการทำงานได้ ส่วนมื้อกลางวันขอให้รับประทานตามปกติเลี้ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่นเดียวกับมื้อเย็นซึ่งไม่ได้ทำงานแล้วร่างกายต้องการพักผ่อนขอให้เลี่ยงอาหารไขมันสูง ในทุกมื้อขอให้รับประทานผลไม้อย่างน้อย 8-10 ชิ้น ระหว่างวันให้ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 8 แก้ว ขอให้ขยับร่างกายบ้าง หรือออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ควรนอนหลับไม่เกิน 22.00 น.