เหยี่ยวถลาลม : กลับบ้านมือเปล่า

ดูไปก็น่าเห็นใจผู้ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี ที่อุตส่าห์บินข้ามน้ำข้ามทะเลไปเพื่อเข้าร่วมประชุมเอเชีย-ยุโรป หรือ ASEM ถึงเบลเยียมหวังจะเชิดหน้าชูคอลบคำสบประมาทที่ว่า ชาติเจริญแล้วไม่คบประเทศที่ทหารยังคงก่อรัฐประหารอยู่เฉลี่ยทุกๆ 6 ปี

การไปทำหน้าที่ของคนเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นถือเป็นเรื่องหนึ่ง

ส่วน “ทัศนคติ” ที่ผิดๆ อันเนื่องมาจากองค์ความรู้ไม่พอ มีความเข้าใจผิดๆ นั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องบอกกล่าวกันตามตรงเพื่อให้รู้สึกตัว ให้ลดความทนงหยิ่งยโสถือดีว่าคิดถูกทำถูกลงเสีย เพราะอัตตาสูงไม่ได้หมายความว่า แน่ ! แต่อาจจะซ่อนความรู้สึกไม่เชื่อมั่น สั่นคลอนไว้ข้างใน

เดิมทีเดียวในกลุ่มอาเซียนด้วยกันนั้น ไทยเราเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 3 ของสหภาพยุโรป และเมื่อปี 2556 ก็มีการเจรจา “เอฟทีเอ” กันจนใกล้บรรลุข้อตกลง แต่พอเกิดรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 สหภาพยุโรป มีปฏิกิริยาตอบโต้ทันที

Advertisement

ในโลกอันน้อยนิดของผู้ก่อรัฐประหารอาจคิดไม่ถึงกับคำว่า โลกไร้พรมแดน, การค้าเสรี และมาตรการกีดกันทางการค้า หรือถ้าแม้นเป็นพุทธศาสนิกชนก็ตาม หลายคนเข้าไม่ถึงความลึกซึ้งของคำว่า “ไม่ร่วมสังฆกรรม” อันเป็นศัพท์ของสงฆ์

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ร่วมเกิดแก่เจ็บตายร่วมทุกข์ร่วมสุขจะอยู่ลำพังโดดเดี่ยวไม่ได้

ถ้าเพื่อน “ไม่ร่วมสังฆกรรม” ในทางโลกก็คือ ไม่มีใครคบ

“อียู” มีปฏิกิริยาต่อรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารรุนแรงด้วยการระงับเยือนไทยอย่างเป็นทางการ, ไม่ต้อนรับผู้แทนไทย และไม่ลงนามกรอบความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วน และความร่วมมือกับไทยจนกว่าจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

“รัฐประหาร” ไม่ได้เท่ นายไม่ได้แน่ และไม่ใช่ “ทาง” ที่จะพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมอารยะ ตรงกันข้ามสิ่งที่ทำกลับสะท้อนความล้าหลังทางสติปัญญาของประเทศ

ผลที่ได้จากการไปประชุมเอเชีย-ยุโรป หรืออาเซมครั้งนี้ของไทยจึงต่างชั้นต่างระดับกับ “ลีเซียนลุง” นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ที่บรรลุการเจรจาและได้ทำข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป ขณะที่เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ก็ยืนจ่อ
ต่อคิว

หน้าชื่น-อกตรม เรากลับมามือเปล่า !?!!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image