อะไรก็ช่างเป็นไป เหนือความคาดคิดผิดจากที่คาดหมาย แม้สิ่งนั้นจะไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่ของจริง แต่เมื่อเกิดอยากได้อยากเป็นขึ้นมา คนเราก็ทุ่มทำได้ทุกสิ่งอย่างไม่รู้สึกขัดเขินเหนียมอายคล้ายมีวิญญาณเข้าสิง จึงได้เป็นไปอย่างที่เห็นๆ
เมื่อแย้มเผยเจตนาว่า “สนใจการเมือง” บรรดาลิ่วล้อบริวารก็จัดแจงเอาใจนายทันที
ไม่มีคำว่า “สุภาพบุรุษ” ในเกมช่วงชิงอำนาจทางการเมือง
แม้ “หน้าฉาก” ชอบพูดกันว่า การเมืองเป็นเรื่องแนวความคิด อุดมการณ์ที่มุ่งมั่นสานฝันเพื่อประโยชน์สุขคนส่วนใหญ่ แต่ “หลังฉาก” เต็มไปด้วยลูกไม้แพรวพราวซ่อนเงื่อน
มีแต่มือใหม่หัดขับที่ยังไม่เคยได้ลิ้มลองรสแห่งอำนาจรัฐเท่านั้นที่ยังซื่อใส เดินไปตามทาง
ต่างไปจากผู้ทรงอำนาจ ที่เมื่อผุดคำว่า “สนใจ” ออกมาเท่านั้น ทุกสิ่งอย่างก็จะมีผู้ใส่พานประเคนให้ แม้กระทั่งกำกับบทการแสดง
ที่จริงโลกไม่ได้สนใจว่าคุณจะเป็นใคร
และที่โลกต้านนั้นก็ไม่ใช่คุณ ไม่ใช่นาย ไม่ใช่ท่าน แต่โลกต้าน “ความฉ้อฉล” ต้านความไม่ยุติธรรม ต้าน “รัฐประหาร” ที่เป็นความป่าเถื่อนทางการเมืองซึ่งโลกรับไม่ได้
จึงต้องเปลี่ยนท่วงท่าลีลา
ถ้านี่เป็นภาพยนตร์ก็เป็น “บทภาพยนตร์เก่า” เมื่อกว่า 60 ปีที่แล้ว
เมื่อครั้งที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับจากทัวร์ต่างประเทศ หลังจากได้เห็นความเจริญก้าวหน้ากับเสถียรภาพของระบอบการปกครองที่ “ทหาร” เป็นทหารอาชีพ เคารพกฎหมาย และอยู่ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
จอมพล ป.ให้เก็บปืนกับกำลังรบเอาไว้ในค่ายทหาร คิดใช้ “สนามเลือกตั้ง” เป็น “ทางใหม่” สู่อำนาจ กำลังจะหันหลังให้กับการรัฐประหาร จึงให้มีการเลือกตั้งในต้นปี 2500
ผิดตรงที่! การเลือกตั้งในทรรศนะของจอมพล ป.นั้นเป็นการเกมที่ขี้ฉ้อสกปรก
เพียงมีความอยากได้อยากเป็นขึ้นมา คนเราก็ทุ่มทำได้ทุกสิ่งอย่างไม่รู้สึกขัดเขินเหนียมอาย
รัฐบาลซึ่งมี “ที่มา” จากการรัฐประหารตั้งพรรคการเมืองสู้กับพรรคของพลเมืองที่มีเพียงมือเปล่า
การต่อสู้ภายใต้กติกาที่ฉ้อฉล การเลือกตั้งที่สกปรกจึงปูทางให้ “สฤษดิ์ ธนะรัชต์” ปฏิวัติ !?!!!