นายรอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศน้ำและการเกษตร (สสนก.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ให้สัมภาษณ์ว่า สาเหตุที่หลายพื้นที่ของประเทศไทยมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นจนสร้างความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะที่ จ.บึงกาฬ นครราชสีมา และลำปาง มาจาก 3 สาเหตุหลักๆ คือ 1.ช่วงเวลานี้เป็นช่วงรอยต่อของจุดเปลี่ยนระหว่างเอลนีโญ่ เป็นลานีญา 2.สภาวะสิ่งแวดล้อมหลายพื้นที่ ทั้งประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านไม่ดีเลย ป่าไม้น้อย เป็นเหตุให้ความชื้นในบรรยากาศมีน้อย พื้นดินมีความแห้งแล้ง อุณหภูมิของน้ำทะเลและอุณหภูมิของแผ่นดินแตกต่างกันมาก เมื่อมีลมแรงขึ้น พายุก็จะแรงขึ้นด้วย และ 3.พื้นที่นั้นมีความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิสูงสุดและอุณหภูมิต่ำสุดในวันดังกล่าวสูงมาก
“เช่นที่บึงกาฬนั้น ในวันเกิดเหตุ ช่วงเช้ามืดอุณหภูมิอยู่ที่ 23 องศาเซลเซียส แต่ช่วงบ่ายอุณหภูมิสูงถึง 43 องศาเซลเซียส ประกอบกับมีมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนและทะเลจีนใต้แผ่เข้ามา ทำให้เกิดลมแรงเป็นพายุฤดูร้อน ไม่ต่างกับที่ จ.ลำปาง ที่อุณหภูมิสูงสุด 43.4 องศาเซลเซียส ช่วงกลางวัน และช่วงเช้ามืดอุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ 28 องศาเซลเซียส ซึ่งภาวะเช่นนี้มีโอกาสเกิดขึ้นอีกในหลายๆ พื้นที่ไปจนถึงสิ้นฤดูร้อน แต่ยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าเกิดที่ไหนบ้าง ต้องดูอุณหภูมิในแต่ละพื้นที่ว่ามีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหนในแต่ละวัน แต่ส่วนใหญ่น่าจะเกิดในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันนออกเฉียงเหนือ โดยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าภาคเหนือเกือบทุกจังหวัด ตอนกลางวันอุณหภูมิสูงเกิน 40 องศาเซลเซียสทั้งนั้น” นายรอยลกล่าว
เมื่อถามว่า ในพื้นที่กรุงเทพฯ มีโอกาสเกิดพายุฤดูร้อนหรือไม่ นายรอยลกล่าวว่า จากการตรวจสอบแบบจำลองสภาพอากาศ(วาฟ) มีความเป็นไปได้สูงว่า วันที่ 30 เมษายน และวันที่ 1 พฤษภาคมนั้น กรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะพื้นที่ฝั่งตะวันออก เช่น บางกะปิ คลองสามวา หนองจอก ลาดกระบัง มีนบุรี สะพานสูง บึงกุ่ม คันนายาว ประเวศ มีโอกาสที่จะเกิดฝนตกค่อนข้างสูง ส่วนการเกิดลูกเห็บนั้นมีโอกาสน้อย เมื่อเทียบกับภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะกรุงเทพยังไม่ร้อนมากนัก เนื่องจากการได้รับอิทธิพลจากลมทะเลอยู่