เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน (ขสช.) จัดเวทีเสวนา “3 กฎหมายสุขภาพ ก้าวหน้าหรือล้าหลัง? (พ.ร.บ.ซูเปอร์บอร์ด พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. และ พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส.)” มีผู้เข้าร่วม อาทิ นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย) นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการสาธารณสุข (สธ.) นายนิมิตร์ เทียนอุดม กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า หลายประเทศที่กำลังพัฒนาจะพัฒนาระบบประกันสุขภาพ ส่วนระบบประกันสุขภาพไทยถูกพัฒนาต่อเนื่องมา 20 กว่าปีแล้ว แต่ทุกรัฐบาลจะต้องมีปัญหากับกลไกระบบประกันสุขภาพดังกล่าว ส่วนตัวมีความเห็นว่าระบบจะต้องมีอิสระ โปร่งใส และตรวจสอบได้ แต่ขณะนี้รัฐอยากเข้ามาควบคุม ทั้งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แต่เห็นว่าประชาชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมร่างกฎหมายสุขภาพทั้ง 3 ฉบับ ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะหากไม่สนใจ กลไกพัฒนาสุขภาพจะเป็นไปในทางที่ผิด
“ในส่วนหลักประกันสุขภาพ ส่วนตัวมองว่าหากเปลี่ยนเป็นการเก็บจากคนรวยร้อยละ 1-10 ของประเทศ เป็นไปได้หรือไม่ ถ้าลองคำนวณดูก็ได้เงินเข้ากองทุนมากพอสมควรถึงร้อยละ 50 และที่สำคัญอย่ามัวแต่คิดเรื่องแก้กฎหมาย ควรมองเรื่องของการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ควรสร้างความรู้ความเข้าใจมากกว่า” นพ.สมศักดิ์ กล่าว
นายนิมิตร์ กล่าวว่า กฎหมายหลักประกันสุขภาพเป็นกฎหมายที่ประชาชนมีส่วนร่วมมาโดยตลอด แต่ในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการ สธ.การมีส่วนร่วมของประชาชนเปลี่ยนแปลงไป ทำให้กฎหมายที่นำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำ กลับไม่ถูกหยิบยกขึ้นมา เพราะ สธ.มองว่าระบบหลักประกันสุขภาพทำให้สูญเสียผลประโยชน์
“ใครมีเงิน คนนั้นก็มีอำนาจ และมีความพยายามที่จะปรับแก้กฎหมายใหม่ แค่ต้องการเพิ่มอำนาจให้กับ สธ. ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์หลักของกฎหมายที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะประชาชนทุกคนที่ต้องได้รับสิทธิประโยชน์ เพราะทุกวันนี้ระบบประกันสุขภาพไทยก็มีความเหลื่อมล้ำอยู่แล้ว จำเป็นต้องแก้ตั้งแต่การแบ่งแยกสิทธิข้าราชการ ประกันสังคม รัฐวิสาหกิจ ให้ได้ก่อน แทนการแก้ให้ประชาชนมาร่วมจ่าย เพราะทุกคนต่างมีส่วนร่วมในการเสียภาษีนำรายได้สู่รัฐ ส่วนขั้นตอนแก้กฎหมายก็ยิ่งแย่ รวบรัด ประชาชนไม่มีส่วนร่วม แนวคิดแบบนี้ภาคประชาชนรับไม่ได้” นายนิมิตร์ กล่าวและว่า ขณะนี้จึงมีสถานะถูกแช่แข็ง ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาต่อ เพราะหากหยิบขึ้นมาก็เกิดสงครามกับประชาชนทันที เช่นเดียวกับร่างซูเปอร์บอร์ด และ สสส. โดยเฉพาะร่างซูเปอร์บอร์ด ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีการท้วงติงไปแล้วว่าไม่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้เกิดการใช้จ่ายงบประมาณและมีตำแหน่งซ้ำซ้อน ดังนั้น เป็นประเด็นที่ประชาชนจะต้องติดตาม เพราะไม่เช่นนั้น ถอยหลังเข้าคลอง กลับไปสู่ระบบสงเคราะห์เฉพาะกลุ่ม โดยรัฐ ข้าราชการ เท่านั้น
“จึงเป็นเหตุแห่งความหายนะของระบบสุขภาพ ถ้าจะบอกว่าระบบประกันสุขภาพจะยั่งยืนได้ ประชาชนต้องร่วมจ่ายด้วยกี่เปอร์เซ็นต์ ระบบสงเคราะห์เกิดขึ้นแน่ อย่างคนลงทะเบียนผู้ยากไร้ 11 ล้านคน ถามว่าคนชนชั้นกลางทุกวันนี้มีเงินเก็บเท่าไร เพราะเพียงแค่รักษาโรคยาก โรคร้ายแรง เพียงโรคเดียวก็ทำให้เกิดการล้มละลายแบบเฉียบพลันทันที ทั้งที่ตลอด 10 ปี ระบบประกันสุขภาพตอบโจทย์ และช่วยเหลือประชาชน ทำให้ไม่ล้มละลายจากการรักษาโรค” นายนิมิตร์ กล่าวว่า ทางออกคือ อย่าเลื่อนเลือกตั้ง แล้วรอรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย เพื่อให้ภาคประชาชนได้เรียกร้อง หรือเสนอแนะแก้ไขเรื่องเหล่านี้ หรือจะเดินสายสอบถามบรรดาพรรคการเมืองที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ขณะนี้ ท่ามกลางสังคมและบรรยากาศแบบประชาธิปไตย
นายวิฑูรย์ กล่าวว่า เรื่องนี้ภาคประชาชนจะต้องสนใจ เพราะหลักสำคัญของระบบประกันสุขภาพคือ การทำให้มนุษย์มีชีวิตรอด โดยเฉพาะช่วงสุดท้ายของชีวิต เป็นกฎหมายสำคัญต้องรักษาไว้ ส่วน สสส. หน่วยงานส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมของสังคม เป็นกลไกที่พัฒนาได้ไกลมากกว่าการออกฎหมาย แต่ฝ่ายความมั่นคงมองว่าทำให้เกิดองค์กร หน่วยงาน เอ็นจีโอ เติบโตและขยายตัวขึ้นเป็นศัตรูของรัฐ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวลา 13.00 น.วันที่ 19 พฤศจิกายน เครือข่ายภาคประชาชนที่ทำงานด้านสุขภาพ คนพิการ เด็กและเยาวชน ผู้สูงอายุ จากทั่วทุกภาคของประเทศ กว่า 150 คน จะเดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อแสดงจุดยืนและยื่นหนังสือต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ยุติการแก้ไข พ.ร.บ.สสส.ไม่ให้กลับไปอยู่ภายใต้ระบบราชการ หรือให้กระทรวงการคลังมีอำนาจเหนือกว่าบอร์ดกองทุน