ยิ่งใกล้จะมีการเลือกตั้ง “ฝ่ายได้เปรียบ” ดูจะยิ่งฮึกเหิม รุกไล่ “ฝ่ายเสียเปรียบ” หนักขึ้นเรื่อยๆ
ที่ “ฝ่ายเสียเปรียบ” พอจะกระทำการได้ก็ด้วยการใช้ “ปัญญา” ผ่าน “ปาก” โดย “ตั้งข้อสังเกต” หรือไม่เช่นนั้นก็ “ตั้งข้อสงสัย” ให้สังคมได้ขบคิดพิจารณาเท่านั้น
หาได้มีกำลังรบอาวุธยุทธภัณฑ์หรือเครื่องไม้เครื่องมืออื่นใดสนับสนุนไม่
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ตั้งข้อสังเกตว่า ความวุ่นวายทั้งหลายในวันนี้เกิดจาก “รัฐมนตรี” ในคณะรัฐบาลซึ่งมาจากการปฏิวัติประกาศจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จึงทำให้มีนักการเมืองเข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรค บางคนถูกกล่าวหาว่าแลกเปลี่ยนเรื่องทางคดี บางคนถูกกล่าวหาว่าได้รับผลประโยชน์
จริงเท็จอย่างไร กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
เรื่องรัฐมนตรีตั้งพรรคการเมืองใช้ชื่อล้อกับนโยบาย “ประชารัฐ” นี้ยังมีปัญหาให้ต้องตั้งข้อสังเกตและสงสัยกันต่อไปอีกตราบเท่าที่รัฐมนตรียังไม่ลาออก
“สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีต กกต.ให้ข้อสังเกตว่า “กฎหมายไม่ได้บอกให้ออก แต่วิญญูชนควรรู้ว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ”
ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก “วิญญูชน” มีความหมายว่าอย่างไร
การดำรงอยู่ของรัฐมนตรี แห่ง “พรรคพลังประชารัฐ” ล่อแหลม หมิ่นเหม่กับการละเมิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 ที่ห้ามอนุมัติงบประมาณโครงการที่มีผลผูกพันรัฐบาลหน้า ห้ามแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ห้ามใช้เงินสำรองจ่ายฉุกเฉิน และห้ามใช้ทรัพยากรหรือบุคลากรของรัฐเพื่อหาเสียง
นายนคร มาฉิม ก็โพสต์เรื่อง “จดหมายเปิดผนึกถึง ศาล กระบวนการยุติธรรม องค์กรอิสระ ข้าราชการพลเรือน ตำรวจ และทหาร”
“คนไทยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ต้องการไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ คสช.ออกไป”
จริงหรือไม่จริงก็เป็น “ข้อสังเกต”
เนื่องจาก ความจริงก็คือ รัฐบาล คสช.ไม่อาจจะ “ออกไป” ด้วยการร้องขอ
แต่จะไปก็ต่อเมื่อ “ผลการเลือกตั้ง” ชี้ชัดชนิดถล่มทลาย
“ยุทธศาสตร์” การกาบัตรลงคะแนน ตามที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กล่าวเอาไว้จึงเป็นเรื่องน่าขบคิด
“ประชาชนต้องกาบัตรอย่างมียุทธศาสตร์ ต้องคิดว่า จะเลือกใคร จะให้ใครเข้ามาทำงาน ซึ่งสุดท้ายก็จะมีแค่ 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ กับกลุ่มที่ไม่ต้องการให้มีการสืบทอดอำนาจ”
จะเอาออกไป หรือให้เชิดหน้าชูคออยู่ต่อไป เอาที่สบายใจ !?!!
