เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม นพ.ธวัชชัย กมลธรรม ที่ปรึกษากรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)ได้พิจารณาเห็นชอบแผนการปฏิรูปการแพทย์แผนไทยแห่งชาติแล้ว และภายในสัปดาห์หน้าจะเสนอแผนดังกล่าวเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการประสานงานรวม 3 ฝ่าย หรือ “วิปแม่น้ำ 3 สาย” คือ คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เพื่อให้ได้รับการรับรองก่อนที่จะเสนอเรื่องเข้าสู่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งหาก ครม.พิจารณาเรียบร้อยแล้ว ก็จะนำไปสู่การปฏิรูปทั้งระบบบริการ การศึกษา การทำวิจัยและพัฒนากำลังคน รวมทั้งระบบการบริหารจัดการ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของสมุนไพรเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะที่ผ่านมายังไม่มีการรวบรวมสมุนไพรและนำมาใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้น หากแผนดังกล่าวคลอดออกมาก็จะมีคณะกรรมการระดับชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน หรือมอบหมายรองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องมาทำงาน เริ่มแรกจะต้องแก้ปัญหาการขึ้นทะเบียนสมุนไพร และแก้ปัญหาการขาดแคลนสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งปัญหาเกษตรกรปลูก แต่ไม่รู้จะขายที่ไหน เป็นต้น
“เบื้องต้นจะต้องมีโรงงาน คล้ายๆ โรงสี หรือโรงเก็บสมุนไพรเกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ โดยจะอิงพื้นที่เขตสุขภาพ 12 เขตของกระทรวงสาธารณสุขก่อนจะขยายไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยโรงสีดังกล่าวจะทำหน้าที่เก็บรวบรวมสมุนไพร และทำการแปรรูปเพื่อจำหน่าย ซึ่งอาจเป็นสารสกัดหรือผลิตภัณฑ์จำหน่ายในประเทศและต่างประเทศ โดยการผลักดันโรงเก็บดังกล่าว ถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย นอกจากนี้ ตัวโรงเก็บจะเชื่อมโยงกับผู้แปรรูปในระดับโรงงานต่างๆ เพื่อนำไปผลิตเป็นยา เครื่องสำอาง อาหารบำรุงสุขภาพ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หลังจากมีโรงเก็บแล้วก็จะต้องมีจุดจำหน่าย อย่าง เอาต์เล็ต (Outlet) เพื่อเป็นจุดจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยวด้วย” นพ.ธวัชชัยกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การผลักดันโรงสีจะใช้งบประมาณเท่าไร นพ.ธวัชชัยกล่าวว่า เรื่องนี้จะมีคณะกรรมการพิจารณา ซึ่งอาจเป็นความร่วมมือกับภาคเอกชนที่มีการผลิตสมุนไพรอยู่แล้ว และต่อยอดก็ได้ อย่างขณะนี้กรมมีความร่วมมือกับ วัดชูจิตธรรมาราม จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นวัดที่เก็บสมุนไพรมาทำประโยชน์มานาน ดังนั้น โรงสีแต่ละแห่งอาจไม่จำเป็นต้องสร้างใหม่ แต่ต่อยอดก็ได้
