คึกคักอักโขยิ่งนักสำหรับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เวลานี้
เริ่มจาก โต๊ะจีนหรูหรากวาดเงิน 650 ล้านบาท ทะลุเป้า จนคู่แข่งหลายพรรคที่ชักหน้าไม่ถึงหลังภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ “จน” ถ้วนหน้าต้องพากันหมั่นไส้
ถัดมา “พปชร.” เดินสายรุกหนักบุกฐานที่มั่นใหญ่ “เพื่อไทย” ปิดสนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี จัดปราศรัยเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ “อุตตม สาวนายน” หัวหน้าพรรค สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค ไปกันพร้อมหน้า ห้าวสุดลิ่ม โวจะกวาด 38 ที่นั่ง เพราะผู้สมัคร พปชร.
มากประสบการณ์เตรียมความพร้อมมาก่อนใคร
ภายในโรงยิมเนเซียม ยังได้ติดตั้งป้ายให้รายละเอียด “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ”
แสดงตัวเลขเงินที่รัฐช่วยเหลือต่อคน ต่อครัวเรือน ไล่ไปตั้งแต่ค่าไฟฟ้า 230 บาท ค่าน้ำประปา 100 บาท ค่าเดินทางไปรักษาพยาบาลของผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไปคนละ 1,000 บาท สวัสดิการ อสม.
เดือนละ 1,000 บาท
ท่ามกลางความขมขื่นของประดาคู่แข่งที่เรียกร้องให้ “กกต.” ทำหน้าที่ตรวจสอบ เอาผิดฐานใช้อำนาจรัฐในทางมิชอบ มีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการใช้งบประมาณของรัฐสร้างความนิยมทางการเมือง
เช่นเดียวกับที่ จ.ยโสธร ที่กำลังถูกร้องว่ามีการเชิญชวนให้ผู้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐพ่วงเข้ากับการสมัครเป็นสมาชิกพรรค พปชร. ต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่รัฐที่แห่แหนมาต้อนรับ
การเคลื่อนไหวของ “พปชร.” นับว่าล่อแหลม
แม้ “พปชร.” จะพยายามดิ้นหลบเลี่ยงข้อครหา แต่ถ้าย้อนกลับไปทบทวนอ่านสำนวนของ สังศิต พิริยะรังสรรค์ ที่เคยให้สัมภาษณ์ก็จะถึงบางอ้อ
“โจทย์ก่อนเลือกตั้งปี 2562 คือเป็นพันธมิตรกับพรรคที่สนับสนุน พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่วันนี้เปิดตัวลงมาเล่นในสนามการเมือง มีนโยบายและผลงานที่ชัดเจน แต้มต่อของหัวหน้า คสช.คือเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อย ส่วนภาพลักษณ์ของอาจารย์เอนกและกำนันสุเทพคือผู้ผลักดันให้เกิดการปฏิรูป นี่คือสองส่วนที่จะมาบรรจบกัน”
ถึงแม้วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์จะยังสงวนท่าทีและส่งเสียงเตือนว่า อย่าปากมากวิจารณ์กันมากไป ยังไม่ได้ตกปากรับคำให้พรรคการเมืองใดเสนอชื่อเป็น “นายกรัฐมนตรี” แต่การเปิดเผยของ “สังศิต”
ผู้คลุกวงในก็ไม่อ้อมค้อม
ถ้าพรุ่งนี้ยอมเสียตัวให้กับ “พปชร.” ก็ไม่ใช่ความบังเอิญ !?!!
