ผู้สื่อข่าวรายงานจากการตรวจสอบแบบจำลองสภาพอากาศ (วาฟ) ของสถาบันสารสนเทศน้ำและการเกษตร (สสนก.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ช่วงคืนวันที่ 26 มกราคม ต่อเนื่องถึงตอนสายของวันที่ 27 มกราคม ความกดอากาศสูงยังคงปกคลุมพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง รวมทั้งพื้นที่กรุงเทพมหานครอยู่ โดยช่วงเวลาดังกล่าวยังคงมีอากาศหนาวเย็น ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือเกือบทุกพื้นที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียสและมีฝนตก ส่วนกรุงเทพฯยังคงมีอุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียสอยู่
“หลังจากนั้นทั้งหมดอุณหภูมิจะค่อยๆ อุ่นขึ้นเป็นปกติ ตัวเลขจากวาฟชี้ว่า วันที่ 27-29 มกราคม อุณหภูมิในกรุงเทพฯจะอยู่ที่ประมาณ 25-26 องศาเซลเซียส และช่วงกลางวันก็จะเลยไปที่ประมาณ 35 องศาเซลเซียสเหมือนเดิม ดังนั้นดูเหมือนกับว่าคืนวันที่ 26 มกราคม จะเป็นคืนสั่งลาอากาศหนาวที่สุดของคนกรุงเทพฯแล้ว เพราะหย่อมความกดอากาศสูงจะถอยกลับออกจากประเทศไทยไปแล้ว สำหรับพื้นที่ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงกลางวันของวันที่ 26 มกราคมนั้น บริเวณ จ.บึงกาฬ หนองคาย และภาคเหนือบางส่วนมีฝนตก อุณหภูมิยังคงต่ำ และมีอากาศหนาวต่อเนื่องไปจนถึงเช้าวันที่ 27 มกราคม ฝนหยุดตก เริ่มมีแดด และอากาศก็จะอุ่นขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน” แหล่งข่าวจาก สสนก.กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนี้ประเทศไทยมีโอกาสที่จะหนาวเหมือนเช่นที่ผ่านมาหรือไม่ แหล่งข่าวจาก สสนก.กล่าวว่า จากแบบจำลองวาฟนั้น พบว่าประมาณวันที่ 31 มกราคม ความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะแผ่เข้ามายังประเทศไทยอีกครั้ง แต่จะอยู่ที่ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้น แผ่ลงมาไม่ถึงภาคกลาง โดยจะทรงอิทธิพลอยู่ถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ แต่ความแรงไม่เท่ากับความกดอากาศสูงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ คือ มีอากาศเย็นจริง แต่อุณหภูมิไม่น่าจะต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส และหลังจากนี้ก็จะลุ้นกันอีกทีว่าก่อนวันที่ 15 กุมภาพันธ์ หย่อมความกดอากาศสูงจะแผ่เข้ามาอีกหรือไม่ ถ้าไม่มี ก็ต้องรอเจออากาศหนาวปีหน้าอีกที
“ปีนี้เราเจอหนาวที่เรียกว่าหนาวท่ามกลางปรากฏการณ์เอลนิโญ ซึ่งอุณหภูมิน้ำทะเลร้อนกว่าปกติ ทำให้ไม่หนาวมากนัก ความหนาวที่เกิดขึ้นเป็นความแปรปรวนของอากาศ แต่ปลายปีหน้าที่คาดว่าจะเป็นปรากฏการณ์ลานิญา ที่อุณหภูมิน้ำทะเลจะเย็นกว่าปกติ อาจจะทำให้อากาศหนาวอยู่นานหลายวันเหมือนปี 2554 ก็ได้” แหล่งข่าวนักวิชาการด้านอากาศจาก สสนก.กล่าว