หน้ากับหลังต่างกันอย่างไร
ถ้าพูดถึง “ใบหน้า” ของคนกับ “ด้านหลัง” ของคนเราก็ชัดว่า “หน้า” กับ “หลัง” ต่างกัน
ที่ว่า “หน้าอย่าง-หลังอย่าง” นั้นก็ใช่
เมื่อกล่าวถึง “หน้า” ย่อมนึกถึงใบหน้า กับเมื่อกล่าวถึง “หลัง” ก็ย่อมนึกเป็นอีกอย่าง
ส่วน “ก่อน” กับ “หลัง” นั้นสัมพันธ์กับ “กาลเวลา” ไม่ใช่เรื่องของรูปพรรณสัณฐาน
เวลาก่อนกับเวลาหลัง มักนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงไปตามบริบท หรือสภาวะแวดล้อม หรือเงื่อนไข สารพัดปัจจัย
ตอนนี้มักจะได้ยินคำต่อว่าต่อขาน หรือประณามหยามหยันว่า “คำของนักการเมือง” เชื่อถือไม่ได้
ที่จริง “คำคน” ไม่เกี่ยวกับว่าคนคนนั้นมีอาชีพ มีสถานะ หรือทำหน้าที่ใด
“คน” เปลี่ยนแปลงได้ตลอดกาล เพราะคนใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเงื่อนไข ปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
เมื่อ “คนพูด” ผู้ฟังต้องตรึกตรอง !
ไม่เกี่ยวกับว่าคนพูดนั้นเป็นใคร เป็นนักการเมือง หรือเป็นนักการทหาร
เช่น เคยมีทหารพูดว่า “ขอเวลาไม่นาน”
จนถึงวันนี้อยู่มาเกิน 5 ปี นั่งอยู่นานเกินวาระของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เรียกว่า “นานไหม”
แค่นั้นยังไม่พอ ยังจะอยู่ต่ออีก (วาระที่นักการเมืองซึ่งมาจากการเลือกตั้งคืออีก 4 ปี)
ถ้าอยู่ครบตามที่ใจนึก ก็ปาเข้าไป 9 ปี นานไหม !?
การที่นักการเมืองพูด “ก่อน” เลือกตั้ง กับ “หลัง” เลือกตั้งต่างกันนั้นย่อมมี “ปัจจัย”
“ก่อนเลือกตั้ง” อนุทิน ชาญวีรกูล พูดชัดออกรายการดีเบต ทางโทรทัศน์ “ช่องวัน” มีผู้ชมทั่วประเทศ ทั้งยังพูดต่อหน้า “พยานคนสำคัญ” ที่มาร่วมรายการ อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ จากพรรคเพื่อไทย และ นายธนาธร จึงรุ่งเรือง จากพรรคอนาคตใหม่
อนุทินว่า “ผมยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย และยึดมั่น เคารพคนที่มาจากระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น…นายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศไทยต้องมาจากพวกผม”
เมื่อเลือกตั้ง “อนุทิน” กับพวกได้ ส.ส.มา 51 ที่นั่ง
ส่วน “อภิสิทธิ์” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้น ที่ประกาศชัดเช่นเดียวกันว่าหัวเด็ดตีนขาด “ไม่เอาประยุทธ์” เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป นำพาพวกสู้ศึกเลือกตั้งได้ ส.ส.มา 52 ที่นั่ง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารหรือ “คสช.” แต่ก่อนก็เคยพูดว่า ไม่อยากจะนั่งอยู่ต่อแม้แต่วันเดียว
แต่ “หลังเลือกตั้ง” ทุกสิ่งเปลี่ยนไป !?!!
