แค่คิดแค่มีจินตนาการหรือคาดเดาอนาคต ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรให้ผู้ใดได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ไม่น่าจะหยิบเอามาใช้เป็น “เหตุ” หรือเป็น “เงื่อนไข” ทำลายล้างกัน
คนที่เกิดก่อนกับคนเกิดทีหลัง รุ่นพ่อแม่กับรุ่นลูก หรือกับรุ่นหลาน ต่างเกิดมาคนละช่วง พ.ศ.ต่างประสบกับสภาพสังคมหรือเหตุการณ์ที่ไม่เหมือนกัน จึงย่อมจะมีความคิดหรือทัศนคติต่อเรื่องราวแตกต่างกันไป
แม้แต่คนที่เกิดร่วมสมัยกัน หากเติบโตมาจากคนละถิ่นฐาน ต่างภูมิภาค ต่างประเพณี
ธรรมเนียมวัฒนธรรมก็อาจคิดไม่เหมือนกัน
พ่อแม่หรือผัวกับเมียอยู่กันมานานจนจะตายจากกันก็ยังคิดต่างกัน
ความไม่เหมือนกันทางความคิดและความเชื่อของมนุษย์จึงเป็นเรื่องปกติ ดูอย่างบางคน เชื่อผีมากกว่าพระ บางคนเชื่อวัตถุมากกว่าการประพฤติปฏิบัติ (เช่น นึกว่าแขวนพระดีแล้วขับขี่รถด้วยความเร็ว 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจะปลอดภัย ที่สุดพระอิฐพระปูนก็คุ้มครองไม่ไหว)
ในสังคมที่เปิดกว้าง ใครจะคิดอะไรหรือจะเชื่ออย่างไร ทั้งความคิดทางการเมือง เรื่องศาสนาย่อมมีอิสระที่จะนับถือศรัทธา เป็นเสรีภาพทางความคิด ความเชื่อและรสนิยม ตราบเท่าที่ไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่หรือสถานะทางสังคมอื่นใดไปเบียดบัง คดโกง หรือข่มเหงรังแกใครก็สามารถดำเนินวิถีชีวิตไปตามความคิดความเชื่อของตนได้อย่างมีเสรี
ในทางตรงกันข้าม ถ้าไปใช้คำพูดยุยงปลุกปั่นสร้างความเกลียดชัง พูดจาหยาบคาย กลั่นแกล้งรังแกผู้ที่คิดต่าง ชอบทำเรื่องเล็กให้บานปลาย ใส่ร้ายป้ายสีอย่างนี้เป็นการ “พฤติกรรมชั่ว”
ถ้าไม่ได้อยู่ในประเทศที่ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ “ความแตกต่างทางความคิด” ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา อย่าได้คิดผูกขาดความถูกผิด
แต่มนุษย์ตั้งแต่ครั้งอดีตกาลมามักจะตกหลุมพรางที่ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า “อคติ” แล้วก็ฆ่ากันด้วยเหตุจาก “ความคิดความเชื่อไม่เหมือนกัน”
แค่เชิดหน้าขึ้นเถียงศาสนจักรว่า “โลกกลม” ก็ถูกจับไปเผาทั้งเป็น
ปรัชญาเมธีทั้งหลายมักจะตายก่อน !
แหล่งอารยธรรมมักจะเหลือแต่ซากปรักหักพังอันเป็นร่องรอยความรุ่งโรจน์ครั้งอดีต
ที่ยิ่งใหญ่อยู่ใน “ปัจจุบัน” คือ “มหาอำนาจผู้มาใหม่”
ไม่ใช่เอเธนส์ !?!!