จําได้ว่าประเทศนี้เคยมี “นายกรัฐมนตรี” ที่ย้ายข้าราชการ 1 คน แต่ได้รับผลร้ายคือ ความเป็น “นายกรัฐมนตรี” มีอันต้องสิ้นสุดลง
จึงมีคำถามว่า การดำรงความเป็น “นายกรัฐมนตรี” ในประเทศนี้ ยากนักหรือ
หลายปีมานี้ มีนายกรัฐมนตรีมียศ “พลเอก” มาจากรัฐประหาร
นั่งอยู่ได้นานถึง 5 ปีกว่า
หลังจากนี้ไป ประเทศนี้ก็จะได้นายกรัฐมนตรี “คนเดิม” จากกติกาและกระบวนการอันซับซ้อนโดยที่นายกรัฐมนตรี “คนเก่า” เป็นผู้แต่งตั้ง “ส.ว.” ถึง 250 คน ร่วมกันโหวตเลือก “นายกรัฐมนตรีคนเดิม” ที่มาจากรัฐประหาร ให้เป็น “นายกรัฐมนตรีคนใหม่” ที่มาจาก “รัฐสภา” อย่างมีเอกภาพ
แต่ในวันนี้ “มาตรฐานทางจริยธรรม” ของประเทศกำลังถูกตั้งข้อสงสัย
“เรามีความเสมอหน้ากันหรือไม่” !
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาชาติ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า คำสั่ง
หัวหน้า คสช.ที่ 4/2562 ลงวันที่ 11 เม.ย.2562 เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมนั้น “ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”
เข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง อันเป็นคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ
นักวิชาการจาก TDRI นักสื่อสารมวลชน ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ รวมทั้งภาคประชาสังคมที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงกับ
“ปากอ้าตาค้าง” เมื่อ “นายฐากร ตัณฑสิทธิ์” เลขาธิการ กสทช. เปิดเผยว่า ช่องสปริงนิวส์ 19 และ สปริง 26 (ชื่อเดิม NOW26) จะได้เงินคืนจากรัฐ รวมกันทันทีราว 1,175 ล้านบาท
แบบนี้มีหรือที่ “อภิมหาเศรษฐี” จะไม่รักนายกรัฐมนตรีในฝัน !?
แต่ประเทศกับประชาชนเสียหายหนัก !
ที่จริง เพื่อไม่ให้ “ผิดซ้ำรอย” เรื่องใช้เงินรัฐไปเอื้อประโยชน์กับสื่อ แล้วใช้สื่อมาโจมตีทำลายคู่แข่งทางการเมือง รัฐธรรมนูญจึงบัญญัติไว้ใน มาตรา 35 วรรค 5 ว่า “ห้ามรัฐสนับสนุนเงินหรือทรัพย์สินอื่นใดแก่กิจการสื่อมวลชนของเอกชน”
คุณสมบัติ “ต้องห้าม” ของนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 160 (4) และ (5) กำลังถูกท้าทาย
ต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็น “นายกรัฐมนตรี” จะสิ้นสุดลงหรือไม่
เรื่องนี้เป็นเรื่อง “หลักการ” ที่เกี่ยวพันกับการสูญเสียผลประโยชน์มหาศาลของประเทศ
แตกต่างกันอย่างมากกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ที่ชวนตบตีด่าทอกันด้วยแรงอิจฉาริษยาและทำลายล้างกันทางสื่อโซเชียล ดังที่ “ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม” รองอธิบดีสำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวให้มีสติกันว่า
“ไม่อยากให้มีการทำลายล้างกันแบบนี้” !?!!
