เรื่องที่ จ่านิว หรือ สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ถูก 4 คนร้ายรุมทุบตีบาดเจ็บปางตาย ไม่ค่อยจะได้รับการกล่าวถึงจากนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง
นั่นเท่ากับบอกว่า สถานการณ์ด้านความมั่นคง ยังคงแข็งแรงดี ไม่มีอาการโยกไหว สั่นคลอน
“ความมั่นคง” ในความหมายที่ว่านั้นคือ ความมั่นคงของคณะผู้ปกครองเดิมที่มาจากการรัฐประหาร 22 พ.ค.2557
แม้ผู้คนจะไม่โง่งม อ่านออก รู้เท่าทันว่าผู้ปกครอง “คณะเดิม” ชุบย้อมตัวผ่านพรรคพลังประชารัฐกระทั่งได้หวนคืนกลับมามีอำนาจอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีใครล้ำเส้นถึงขั้นลุกขึ้นต่อต้าน ขับไล่
มีเพียง “เสียง” สาปส่งอันพลิ้วไหวแผ่วเบาอยู่ในสายลม
เมื่อรู้สึกรำคาญจึงจะมี “ผู้รู้งาน” รู้ใจออกไปว่ากล่าวตักเตือน เช่นเดียวกับที่ ดร.อนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มธ. เจอเข้ากับตัว ที่มีตำรวจท้องที่ สน.ดอนเมือง ไปหาถึงบ้านพัก
“นายสั่งให้มาตรวจสอบดูว่าอาจารย์อนุสรณ์ยังพักอาศัยอยู่บ้านหลังนี้ ตรงกับข้อมูลที่มีอยู่ในระบบหรือไม่”
อาจารย์อนุสรณ์เพิ่งจะปากกล้าปาฐกถาเรื่อง “วิกฤตเสรีภาพในมหาวิทยาลัย” ที่วันนี้ถึงขั้น “เวทีเสวนา” จะต้องแจ้งเนื้อหาให้กองทัพตรวจสอบก่อน
เทียบกับกรณี “จ่านิว” จึงไม่แปลกอันใดที่หากประสงค์จะได้รับความคุ้มครอง ก็จะต้อง “แลก” ด้วยการหยุดเคลื่อนไหวทางการเมือง
แต่น้องจ่านิวเยาวชนหัวใจเพชรเลือกที่จะปฏิเสธการคุ้มครอง !
“จ่านิว” โพสต์ตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งในภายหลังว่า ตอนแรกฟัง “เงื่อนไข” ในการคุ้มครองจากตำรวจนึกว่าหูฝาด หูแว่วไปเอง ฟังผิด แต่เมื่อได้รับคำยืนยันตรงกันจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรื่องเงื่อนไขการคุ้มครองพยานว่า “ต้องไม่เข้ายุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก” ก็ชัดแจ้ง
ชัดว่า “จ่านิว” เป็นหนาม !
คนเห็นต่างเป็นภัยคุกคามที่สั่นคลอนความมั่นคงของคณะบุคคล
สถานการณ์ชวนให้เชื่อว่า “คนเห็นต่าง” จะไม่ปลอดภัย !
แต่ถ้าต้องการ “ความคุ้มครอง” จากรัฐและเจ้าพนักงานของรัฐ จะต้อง “แลก” ด้วยจิตวิญญาณเสรี
เพื่อความปลอดภัยของคุณ และเพื่อความมั่นคงของ “คณะบุคคล” ขอให้เลิกเคลื่อนไหวทำกิจกรรมทางการเมือง
อย่าได้รับรู้ความเป็นไป จงหลับตาลงให้สนิท
หยุดเถิดคนกล้า “ข้าฯจะคุ้มภัย” !?!!