คําว่า “ปรับทัศนคติ” คงสร้างความอกสั่นขวัญแขวนเอาไว้ให้แก่นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามและคนเห็นต่างมากทีเดียว ถึงแม้วันนี้จะบอกว่า “คสช.” ไม่มีแล้ว แต่ผู้คนจำนวนหนึ่งก็ยังคงผวา
จะว่าไป “ปรับทัศนคติ” เป็นคำที่ไพเราะดี มีความเป็นนามธรรมมากเสียจนสามารถตีความได้หลากหลายและกว้างขวาง
แต่เมื่อคำนี้ถูกกำหนดขึ้นและนำไปใช้ในทางการเมืองภายใต้รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารที่ช่วงชิงอำนาจบริหารมาด้วยปืน คำว่า “ปรับทัศนคติ” ก็กลายเป็นคำ “เลือกข้าง” และต้องสนองตอบต่อฝ่ายที่มีอำนาจทางการเมืองเท่านั้น
เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ !
คำว่า “ปรับทัศนคติ” เกิดจากคำสั่งหัวหน้า คสช. 2 ฉบับ คือ คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 กับคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 13/2559
ทั้งสองคำสั่งให้อำนาจ “ทหาร” เรียกบุคคลให้มารายงานตัว
ให้ทหารเข้าร่วมการสอบสวน ให้ทหารมีอำนาจจับกุม ตรวจค้น ยึด อายัดทรัพย์สิน และยังสามารถควบคุมตัวบุคคลเอาไว้ (ในค่าย) ได้อีกไม่เกิน 7 วัน โดยไม่ต้องมีคำสั่งศาล
เมื่อเอ่ยถึงการปรับทัศนคติตามคำสั่งหัวหน้า คสช. บรรยากาศจึงออกไปในทางคุกคามจนถึงขั้นละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อบุคคลที่มีความเห็นต่างทางการเมือง
“ปรับทัศนคติ” เพียงเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีอำนาจเท่านั้น
โคทม อารียา ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ม.มหิดล จึงตั้งคำถาม “บุคคลที่จะปรับทัศนคติของผู้อื่นนั้น มีทัศนคติที่ดีแล้วหรือ มีแต่ระบบอำนาจนิยมที่จะไปปรับทัศนคติคนนั้นคนนี้”
ขณะที่ “พิชัย นริพทะพันธุ์” ยังรู้สึกสยองไม่หายกับการถูกเรียกตัวไป “ปรับทัศนคติ”
“พิชัย” เจอมากับตัว 8 ครั้ง ถูกดำเนินคดีอีก 4 รวมเป็น 12 จึงว่า “ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะถูกเรียกตัวไปปรับทัศนคติเพราะวิจารณ์เศรษฐกิจ”
ปรับทัศนคติกลายเป็นคำเขย่าขวัญ !
ปรับทัศนคติมิใช่วิธีการที่จะนำพาประเทศไปสู่ความก้าวหน้าทันสมัย หากแต่เป็นเพียง “เครื่องมือ” อันทรงพลังในการปิดปากไม่ให้พูดหรือไม่ให้แสดงออกที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของ “คณะบุคคลผู้มีอำนาจ”
แต่วันนี้ภารกิจ คสช.สิ้นสุดยุติลงแล้ว
ประเทศมี “รัฐบาลใหม่” แล้ว
เพียงแต่ได้ “หัวหน้า คสช.” คนเดิมมาเป็นนายกรัฐมนตรี
จึงมีคำถามว่า “อดีตหัวหน้า คสช.” พร้อมหรือยังที่จะรับมือกับความแตกต่างทางความคิด !?!!