ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมาจนถึงวันนี้ 87 ปีผ่านไป ทำไม “คนกลุ่มหนึ่ง” ซึ่งก็เป็นลูกหลานชาวบ้านเช่นเดียวกันยังคิดว่า เชื่อว่า และยังบอกว่า ประชาชนโง่-เลือกนักการเมืองเลว มาปกครองบ้านเมือง
ใช่หรือไม่ว่านั่นเป็นสาเหตุทำให้ประชาธิปไตยไปไม่รอด !
“ทหาร” กลุ่มหนึ่งใช้ “วาทกรรม” นี้เป็นเงื่อนไขในการใช้กำลังพลและอาวุธยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนตลอดมา โดยกล่าวว่า ทำเพื่อปกป้องมิให้ชาติล่มจม
เป็น “ความจริง” ทีเดียวว่ายังคงมี “นักการเมืองเลว” ในทุกระดับ มีการทุจริตคอร์รัปชั่นตั้งแต่ท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ
แต่ก็เป็นความจริงเช่นเดียวกันว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นมิได้จำกัดอยู่แต่ในแวดวงการเมือง
การทุจริตเป็น “พฤติกรรม” ที่หยั่งรากในสังคมไทยมานับร้อยปี
แพร่กระจายอยู่ในทุกสาขาอาชีพ แต่ที่หนักหน่วงรุนแรงและเป็นระบบที่สุดคือ การทุจริตในระบบราชการ !
อาจมี “คนโง่” อยู่จริง นักรัฐประหารจึงยังสามารถใช้ “วาทกรรม” ซ้ำๆ ซากๆ สร้างความชอบธรรมเพื่อเถลิงอำนาจ
ไม่ต้องไปดูกันไกลนัก รัฐประหาร เมื่อเดือน ก.พ.2534 “รสช.” ก็ทำขึงขัง อ้างว่านักการเมืองรุมกินโต๊ะประเทศ
พอยึดอำนาจเสร็จก็วางแผนใช้กลไกประชาธิปไตยชุบย้อมตัว
แต่เกมสืบทอดอำนาจต้องสะดุดด้วยเหตุที่มี “จปร.” ด้วยกันรู้ทัน ชักชวนผู้คนมาชุมนุมประท้วง
“รสช.” เป็นผู้ก่อให้เกิดเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ’35”
เดือน ก.ย.2549 ก่อรัฐประหารอีก ข้ออ้างในการยึดอำนาจอธิปไตยจากประชาชนเหมือนเดิม จากนั้นก็ลงมือเขียนกติกาใหม่ “กีดกัน” ฝ่ายตรงข้ามอย่าให้ได้ผุดได้เกิด
แต่เลือกตั้งปี 2550 ประชาชนก็ยังคงเลือกคนที่รักพรรคที่ชอบอย่างถล่มทลาย
มีเสียงขัดเคืองว่า รัฐประหาร’49 เสียของ
นั่นเป็น “จุดเริ่มต้น” การสมคบคิดและใช้กลอุบายทำลายล้างอย่างเป็นระบบตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา
วังวนความขัดแย้งไม่มีวันจบ
การต่อสู้กันระหว่างฝ่ายหนึ่งซึ่งถูกประทับตราว่า “โง่” กับอีกฝ่ายที่มีพวกพร้อมอาวุธพร้อมนำไปสู่ รัฐประหาร 22 พ.ค.2557 ที่มุ่งมั่นลบคำว่า “เสียของ”
ส่งผลให้จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ประเทศยังคงมี “นายกรัฐมนตรี” คนเดิม
เพียงเปลี่ยนจาก “หัวหน้า คสช.” ที่เป็นผู้นำรัฐประหารซึ่งโลกไม่ยอมรับ มาเป็นนายกรัฐมนตรี ผู้เป็น “ผู้นำพรรคตัวจริง”
ที่แม้แต่ “หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ” ยังต้องโค้งคำนับด้วยความเคารพ !?!!