เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวก่อนการประชุมคณะกรรมการแพทยสภา ซึ่งมีวาระเกี่ยวกับการตั้งอนุกรรมการจริยธรรมชุดพิเศษตรวจสอบข้อเท็จจริงการออกใบรับรองแพทย์อาการอาพาธของพระเทพญาณมหามุนีหรือพระธัมมชโย หลังจากมีการร้องเรียนต่อแพทยสภาให้ตรวจสอบใบรับรองแพทย์เป็นเท็จหรือไม่ ว่า อนุกรรมการจริยธรรมฯจะเชิญแพทย์ที่ถูกร้องเรียนเข้ามาให้ข้อมูล และจะเรียกข้อมูลเอกสารหลักฐานการตรวจพระธัมมชโยทั้งผลเลือด ผลอัลตราซาวด์ และผลเอ็กซเรย์ จากคลินิกสหรัตนเวช และแพทย์ที่ออกใบรับรงแพทย์ ซึ่งจะทำให้สามารถบอกได้ว่าคนไข้มีอาการป่วยจริงตามที่มีการระบุในใบรับรองแพทย์หรือไม่ แพทยสภาไม่จำเป็นต้องเข้าไปตรวจคนไข้เอง
ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่วัดพระธรรมกายโดยร.ท.นพ.ชูชัย พรพัฒนาพันธุ์ในฐานะแพทย์ผู้ให้การรักษาพระธัมมชโยยื่นเรื่องให้แพทยสภาส่งแพทย์ที่เป็นกลางเข้าไปตรวจวินิจอาการอาพาธของพระธัมมชโยและแพทยสภารับเรื่องจะส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจวินิจฉัยแต่มีเงื่อนไขว่าต้องได้รับหนังสือยินยอมนั้น ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2559 ร.ท.นพ.ชูชัยได้ส่งหนังสือมายังแพทยสภา โดยระบุว่าแพทยสภาไม่ต้องส่งแพทย์เข้าไปตรวจอาการอาพาธพระธัมมชโยแล้ว ให้เหตุผล 2 ประการ คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ การตรวจวินิจฉัยของแพทย์คนกลางจากแพทยสภาจะไม่มีผลต่อรูปคดี เจ้าหน้าที่ไม่รับฟัง และ 2.เพื่อให้เป็นการสร้างความกดดันให้เกิดกับแพทยสภา
นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมมีมติ คือ อนุกรรมการเฉพาะกิจตรวจสอบประเด็นใบรับรองแพทย์ โดยมีตนเป็นประธาน และมีกรรมการอื่นๆอีก 3 คน คือ พญ.ชัญวลี ศรีสุโข นพ.เกรียง อัศวรุ่งนิรันดร์ นพ.วิสุทธิ์ ลัจฉเสวี ร่วมเป็นอนุกรรมการชุดดังกล่าว คาดว่าจะประชุมหารือในสัปดาห์หน้า ก่อนจะเรียกแพทย์ที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เวลาตรวจสอบว่าใบรับรองแพทย์มีมูลความผิดหรือไม่ อย่างน้อย 3-4 เดือน ซึ่งจากขั้นตอนปกติใช้เวลาถึง 6 เดือน หากมีมูลจริงก็ต้องส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการแพทยสภา เพื่อตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงอีก ซึ่งใช้เวลาอีก 6 เดือน ซึ่งการดำเนินงานพยายามทำให้เร็วที่สุด แต่ก็ต้องละเอียดถี่ถ้วน เพื่อชอบเป็นธรรมอย่างแท้จริง