คนไทยเล่นพนัน 30.4 ล้านคน อายุน้อยสุด7ขวบ อภิสิทธิ์ เสนอรัฐแก้ปัญหามองนโยบายภาพรวม

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ หลักสี่ กรุงเทพฯ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ และภาคีเครือข่าย จัดการประชุมวิชาการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน ปี 2562 “สังคมเท่าทัน การพนันไม่ล้ำเส้นเสี่ยง” โดยมีเหล่าภาคีเครื่อข่ายหลายร้อยคนเข้าร่วมงาน

ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า การพนันนับเป็นปัจจัยเสี่ยงทางสังคม เพราะการพนันช่วยกระตุ้นความตื่นเต้นในชีวิต คล้ายกับบุหรี่ที่กระตุ้นสมอง ซึ่งนำไปสู่การเสพติดได้ และเมื่อเสพติดก็จะหยุดไม่ได้ และจะต้องเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ สุดท้ายอาจเกิดผลเสีย ทั้งการงาน การเรียน สุขภาพ เศรษฐกิจ ทั้งนี้ สสส.เริ่มให้มีกลุ่มแผนงานลดปัญหาจากการพนันมาตั้งแต่ปี 2553 เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างเท่าทัน ผลักดันให้เด็กและเยาวชนมีภูมิคุ้มกัน ที่น่ากังวลคือมีจำนวนคนเล่นมากขึ้น คนไม่มองว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นการพนัน แต่รัฐบาลไม่มีคณะกรรมการที่จะมาเยียวยา หรือป้องกันผู้เล่นหน้าใหม่ เพื่อให้ประเทศมีความสมดุล หรือมีการเก็บภาษีอย่างชัดเจน ควบคู่ไปกับการปราบปรามพนันใต้ดินอย่างจริงจัง

ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์

ด้าน รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ ผอ.ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน (CGS) กล่าวว่า จากการเก็บข้อมูลประชาชนอายุ 17 ปีขึ้นไป ทั้ง 77 จังหวัด รวม 44,050 ตัวอย่าง พบว่า ปี 2562 คนไทยเล่นการพนัน 57% หรือประมาณ 30.42 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ราว 5.2% หรือ 1.49 ล้านคน จำนวนนี้เป็นนักพนันหน้าใหม่ 7.1 แสนคน เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีประมาณ 6.2 แสนคน หรือเพิ่มขึ้น 14.43% ที่น่ากังวลคือ มีเด็กอายุ 15-18 ปี เล่นการพนัน 20.9% หรือ 7.33 แสนคน เยาวชนอายุ 19-25 ปี เล่นพนัน 46.3% หรือ 3.05 ล้านคน และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เล่นพนัน 42.2% หรือ 3.35 ล้านคน สำหรับอายุเริ่มเล่นพนันครั้งแรกต่ำสุดอยู่ที่ 7 ขวบ สูงสุดที่ 62 ปี

“เราพบว่า มีผู้เล่นสลากกินแบ่งฯ มากถึง 22.7 ล้านราย มีเงินหมุนเวียน 150,486 ล้านบาท เฉลี่ยแต่ละคนเล่นงวดละ 314 บาท แม้จะมีความคิดว่า หากดึงมาไว้บนดิน จะลดใต้ดินได้ ก็ไม่เป็นความจริง เพราะมีผู้เล่นหวยใต้ดิน เพิ่มขึ้นเช่นกัน อยู่ที่ 17.3 ล้านราย เงินหมุนเวียน 153,158 ล้านบาท เฉลี่ยนคนละ 405 บาทต่องวด 73.6% กล่าวว่าเล่นควบคู่กันไป ทั้งสองชนิดมีคนเล่นเฉลี่ยทุกงวด 19 งวดต่อปี  ส่วนพนันออนไลน์ แม้จะยังมีตัวเลขไม่สูงเท่า แต่มีมูลค่าวงเงินที่สูง ส่วนใหญ่พบว่าเล่นผ่านโทรศัพท์เยอะที่สุด 97.1% ตอนนี้สลากกินแบ่งฯ ออกมาประมาณ 100 ล้านใบ มองว่าสำนักงานสลากฯ ต้องหยุดบ้างในการเพิ่มปริมาณสลากฯ  เพราะยิ่งเพิ่มก็ยิ่งส่งเสริมให้เกิดการซื้อมากขึ้น จำนวนผู้ขายก็มากขึ้น ทุกหนทุกแห่งเจอคนขายสลากฯ สื่อก็มักนำเสนอผู้ที่ถูกรางวัลใหญ่ สำหรับคำถามถึงรูปแบบการออกสลากใหม่ๆนั้น การดำเนินนโยบายอะไรก็ตาม ควรอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล จากการสำรวจครั้งนี้ คนที่เห็นด้วยกับการทำให้การพนันถูกกฎหมายมีแค่ 30% แต่คนไม่เห็นด้วย 50% หากรัฐบาลคิดคงต้องทำงานหนัก จะคุยอย่างไรกับประชาชนทั้งประเทศที่เริ่มไม่เห็นด้วยว่าการพนันมันเยอะมาก แค่สลากฯ ก็เยอะมากแล้ว ที่ผ่านมารัฐได้เงินจากสลากกินแบ่งฯ 23% หรือ 4 หมื่นกว่าล้านบาท ถือเป็นการดึงเงินเข้ารัฐ ที่ในทางเศรษฐศาสตร์ก็อาจทำให้เงินฝืดได้เช่นกัน” รศ.ดร.นวลน้อย กล่าว

Advertisement
รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ ได้ร่วมอภิปรายในประเด็น รัฐกับการพนัน และแนวทางลดผลกระทบ ว่า การพนันในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไป ด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ที่พัฒนาขึ้น ทำให้สะดวก และไม่ต้องเปิดเผยตัวตน พนันออนไลน์จึงเป็นที่นิยมมากขึ้น นอกจากนี้จากข้อมูลสำรวจก็เห็นว่ายังมีการเล่นพนัน สลากกินแบ่งฯ แต่อย่างน้อย 10 กว่าปีนี้ก็ทำให้เห็นว่า คนมีทัศนคติต่อการพนันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยากให้ความสำคัญคือเรื่องการเชื่อมโยงนโยบายระหว่างรัฐบาล ที่จะนำข้อมูลไปใช้ รัฐบาลควรมองนโยบายต่างๆ ในภาพรวมมากขึ้น ไม่ใช่แต่ละหน่วยงานต่างมีเป้าหมายของตัวเอง อย่างคลังต้องการหาเงิน หรือกองสลากฯ คิดหารูปแบบการเล่นใหม่ๆ

“ระบบราชการมักเป็นการรวมศูนย์อำนาจ จึงมักไม่ค่อยได้นำภาคประชาสังคมเข้าไปร่วมทำงาน แต่ปัญหานี้ต้องร่วมมือกัน ต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์โดยเฉพาะกับกลุ่มเสี่ยง ร่วมกันคิดว่าจะป้องกันปัญหานี้ได้อย่างไร เพราะปัญหาพนันจะนำมาซึ่งหนี้สินครัวเรือน ปัญหาใหญ่ที่เป็นตัวถ่วงการพัฒนาเศรษฐกิจ จึงต้องทำให้เห็นความสำคัญของปัญหานี้อย่างแท้จริง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image