เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม แหล่งข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการดำเนินงานจ้างที่ปรึกษาโครงการจัดตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ (ศูนย์ฯ 191) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการพิจารณาให้เอกชนยื่นข้อเสนอเป็นที่ปรึกษาโครงการดังกล่าววงเงิน 143 ล้านบาท แต่ว่ากรรมการฯบางคนไม่เห็นด้วยกับทีโออาร์บ้างข้อที่ส่อว่าจะล็อกสเปกให้กับเอกชนบางราย และปิดกั้นบางราย ทั้งที่ เคยเป็นที่ปรึกษาออกแบบระบบการให้บริการเลขหมายโทรศัพท์ฉุกเฉินแห่งชาติหมายเลขเดียว(National Single Emergency Number) ให้กับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ถือว่ามีผลงานและน่าจะเข้าร่วมยื่นข้อเสนอ แต่กลับถูกปิดกั้นไม่ให้ร่วมยื่นข้อเสนอ
“ทั้งที่โครงการจัดตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ ถือเป็นการต่อยอดโครงการของ กสทช. หากได้บริษัทที่ปรึกษาโครงการจัดตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ ที่มีผลต่อเนื่องและมีผลงานเป็นที่ประจักษ์น่าจะทำให้การดำเนินการโครงการศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ มีประสิทธิภาพกว่า” แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า โครงการจัดตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาตินี้ จะมีการปรับระบบรับแจ้งเหตุฉุกเฉินให้ทันสมัย ได้มาตรฐานทัดเทียมกับระบบ 911 ของประเทศสหรัฐ โดยประชาชนสามารถแจ้งเหตุได้หลายช่องทาง เช่น เอสเอ็มเอส, ไลน์, ทวิตเตอร์, วิดีโอคอลล์ ที่หมายเลข “191” โดยที่ศูนย์ฯ จะทราบพิกัดตำแหน่งของผู้แจ้งเหตุและสามารถเข้าไปข่วยเหลือได้ทันที เมื่อมีการจ้างที่ปรึกษาแล้ว จะมีการประมูลโครงการเพื่อติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์และส่วนที่เกี่ยวข้องวงเงินกว่า 3 พันล้านบาทต่อไป
“โครงการรับแจ้งเหตุฉุกเฉินนี้ มีอดีตนายตำรวจที่เคยอื้อฉาวนายหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อหวังจะให้เอกชนบางรายชนะการประมูลติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์วงเงิน 3 พันล้านบาท ส่วนการจ้างที่ปรึกษาวงเงิน 143 ล้านบาทนั้นถือเป็นงานเล็กน้อย แต่หากล็อกสเปกบริษัทที่ปรึกษาได้ ก็จะต่อยอดล็อกสเปกการประมูลติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ได้ ทั้งนี้ ทราบว่ามีการยื่นเรื่องร้องเรียนไปยัง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.พิจารณาให้ความเป็นธรรมกับการจ้างที่ปรึกษาโครงการนี้ เพื่อความโปร่งใสและเกิดประสิทธิภาพกับโครงการมากขึ้น” แหล่งข่าวกล่าว
