เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ที่กระทรวงแรงงาน นายอารักษ์ พรหมณี อธิบดีกรมการจัดหางาน(กกจ.) กระทรวงแรงงาน แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน (กนร.) โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเข้าร่วม ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่กกจ. เสนอขอปรับเปลี่ยนขั้นตอนการออกใบอนุญาตทำงาน โดยให้แรงงานนำเอกสารยืนยันการนัดหมายตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลมายื่นต่อเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินขั้นตอนขอรับใบอนุญาตทำงาน จากนั้นเมื่อได้ผลการตรวจสุขภาพเรียบร้อยแล้วให้นำมายื่นต่อเจ้าหน้าที่ภายในระยะเวลาที่กำหนด จากเดิมที่ต้องรอให้ผลออกเรียบร้อยแล้วจึงจะนำมายื่นดำเนินการ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้สามารถดำเนินการได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
นายอารักษ์ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบให้ตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณากำหนดเงื่อนไขการอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวเปลี่ยนไปทำงานกับนายจ้างรายใหม่ โดยตั้งเป้าจะศึกษาและดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม แต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาผู้ติดตามของแรงงานต่างด้าวและบุตรของแรงงานต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทย และคณะอนุกรรมการพิจารณาการให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ไอแอลโอ) ฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทำงานภาคประมง และคณะอนุกรรมการยกร่างกฎหมายรองรับการรับอนุสัญญาไอแอลโอฉบับดังกล่าว นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติให้ตั้งศูนย์แรกรับเข้าทำงานและส่งกลับแรงงานต่างด้าวตามแนวชายแดน โดยเบื้องต้นจะนำร่องที่ จังหวัดตาก สระแก้ว และหนองคาย ภายใต้การดูแลของกระทรวงแรงงาน เพื่อสร้างความเข้าใจกับนายจ้างและชี้แจงสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายให้แรงงานต่างด้าวรับทราบ ป้องกันปัญหาแรงงานบังคับที่อาจนำไปสู่กระบวนการการค้ามนุษย์ได้ และมีมติให้ตั้งศูนย์ร่วมบริการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าว โดยจะประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน เอ็นจีโอและหน่วยงานต่างๆ เบื้องต้นจะตั้งขึ้นในจังหวัดที่มีแรงงานต่างด้าวจำนวนมาก คือ จังหวัดสมุทรสาคร ระนอง และชลบุรี จุดประสงค์เพื่อเป็นศูนย์รับร้องทุกข์ เป็นศูนย์กลางให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาขอความช่วยเหลือ
นายอารักษ์ กล่าวด้วยว่า พล.อ.ประวิตร ยังได้กำชับให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จัดทำแนวปฏิบัติ ในการตรวจบัตรสีชมพูและใบอนุญาตทำงาน ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการป้องกันและตรวจสอบการปลอมแปลงบัตรสีชมพู แม้ที่ผ่านมาจะยังไม่พบปัญหาดังกล่าว รวมทั้งยังให้ศึกษาแนวทางการปรับปรุงบัตรสีชมพูและใบอนุญาตทำงานใหม่ เพื่อให้มีรูปแบบที่ทันสมัย ตรวจสอบได้ง่าย โดยคาดว่าภายใน 2 เดือนจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ สำหรับยอดจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่ถือบัตรสีชมพู ซึ่งครบกำหนดในวันที่ 31 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา และกลุ่มที่ถือเอกสารประจำตัวบุคคลซึ่งไม่ใช่หนังสือเดินทางที่ประเทศต้นทางออกให้ ซึ่งคาดว่ามีประมาณ 3 ล้านคน ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 29 กรกฎาคม ว่า ยอดการจดทะเบียนระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 9 มิถุนายนที่ผ่านมา มีนายจ้างจำนวน 144,967 คน นำต่างด้าวมาจดทะเบียน จำนวน 494,030 คน เป็นแรงงานจำนวน 482,898 คน เป็นผู้ติดตาม จำนวน 11,132 คน ในจำนวนนี้แบ่งเป็นสัญชาติพม่า จำนวน 277,262 คน สัญชาติลาว จำนวน 31,312 คน สัญชาติกัมพูชา จำนวน 185,456 คน