จากกรณีที่ เอ็นโซโก้ (Ensogo) ผู้ประกอบการธุรกิจอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ ประกาศเตรียมปิดธุรกิจทั้งหมดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยออกแถลงการณ์ระบุว่า เอ็นโซโก้ ออสเตรเลีย ไม่สามารถให้เงินสนับสนุนบริษัทลูกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ต่อไป ทั้งในส่วนของการขายแบบแฟลชเซล (การเสนอขายสินค้าในราคาพิเศษในเวลาจำกัด) และส่วนของที่เป็นมาร์เก็ตเพลซ ที่จะปิดลงทั้งหมด โดยมีการแจ้งให้พนักงานได้รับทราบ และจะมีการสื่อสารให้ลูกค้าของเอ็นโซโก้รับทราบต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของประเทศไทยนั้น
เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน น.ส.พรรณี ศรียุทธศักดิ์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน(กสร.) กระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานจากสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 4 (เขตบางรัก ปทุมวัน ยานนาวา บางคอแหลม สาทร)ว่า จากการเข้าตรวจสอบ บริษัท เอ็นโซโก้ จำกัด ตั้งอยู่ที่ 990 อาคารอับดุลราฮิมเพลส ชั้น 10 ถนนพระราม 4 แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500 ซึ่งประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ พบว่าบริษัท เอ็นโซโก้ มีพนักงานเป็นลูกจ้างรายเดือนรวมทั้งหมด 70 คน แบ่งเป็น ชาย 40 คน และหญิง 30 คน และสำนักงานใหญ่ที่ประเทศสิงคโปร์ ได้สั่งให้พนักงานหยุดทำงานตั้งแต่เวลา 12.00 น. ของวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยยังคงสถานภาพพนักงานไว้ ยังไม่มีการประกาศเลิกจ้างและมีการจ่ายค่าจ้างตามปกติ เพียงหยุดกิจการชั่วคราว เพื่อรอคำสั่งจากสำนักงานใหญ่ ว่าจะให้ดำเนินการอย่างไร ทั้งนี้ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 หากสถานประกอบการใดมีความประสงค์ที่จะปิดกิจการและเลิกจ้างพนักงาน จะต้องแจ้งให้ลูกจ้างทราบก่อนล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน เพื่อให้ลูกจ้างเตรียมตัวหางานใหม่ และต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงานให้กับลูกจ้าง โดยสำหรับผู้ที่ทำงานตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป แต่ไม่เกิน 1 ปี ต้องจ่ายค่าชดเชย 30 วัน, สำหรับผู้ที่ทำงาน 1-3 ปี ต้องจ่ายค่าชดเชย 90 วัน, สำหรับผู้ที่ทำงาน 3-6 ปี ต้องจ่ายค่าชดเชย 180 วัน , สำหรับผู้ที่ทำงาน 6-10 ปี ต้องจ่ายค่าชดเชย 240 วัน และทำงานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ต้องจ่ายค่าชดเชย 300 วัน อย่างไรก็ตาม ถ้าหากนายจ้างไม่ทำตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว คือ ไม่แจ้งให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้า รวมถึงไม่จ่ายเงินค่าชดเชย จะมีโทษจำคุก 6 เดือน ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
