ในโลกนี้มีผู้นำมากมายที่โดดเด่น เก่งกล้าสามารถ มีชื่อเสียง ไม่จำกัดว่าสังกัดอยู่ค่ายการเมืองหรือระบอบการปกครองใด ที่ผู้นำจะต้องมีคุณสมบัติร่วมกันอย่างหนึ่งคือ เป็นผู้คิดก่อน เห็นก่อน
จะไปทางไหนและก้าวเดินไปอย่างไร “ผู้นำ” คิดก่อนเห็นก่อนจึงได้รับการยอมรับจากผู้คน
“ผู้นำ” จึงเป็นคำที่แทบไม่ต้องนิยาม
“เติ้ง เสี่ยวผิง” ผู้ยิ่งใหญ่ตัวเล็กแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็น 1 ในตัวแบบของผู้นำ
“เติ้ง” เห็นความยากจนของคนจีนเกือบพันล้านคน จึงให้เปลี่ยนคอมมูนเป็นระบอบกรรมสิทธิ์เอกชนพร้อมชี้นำด้วย
วาทะอันลือลั่นสะท้านโลกว่า “ความยากจน” ไม่ใช่สังคมนิยม จีนจะต้องเลิศล้ำนำหน้าทุนนิยมอย่างสหรัฐอเมริกา
ผู้นำเห็นทาง ผู้นำเดินนำ
ที่มืดมน สิ้นหนทางนั้นไม่ใช่ผู้นำ !
ที่บังเอิญเป็นผู้นำจะไม่เข้าใจ
ที่บังเอิญเป็น “ผู้นำ” จะรับไม่ได้กับคำวิจารณ์
คนที่บังเอิญเป็นผู้นำจึงอาจละเมอด่าคนวิจารณ์ “ไอ้นี่ก็ไม่ดี ไอ้นั่นก็ไม่ดี แต่ไม่ได้บอกว่าจะแก้ยังไง แล้วก็โยนกลับมาที่รัฐบาลว่ารัฐบาลแก้ไม่ได้ ทำไม่สำเร็จ แสดงว่ารัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ ก็ลองเสนอมา ถ้าดีก็จะทำให้”
คนที่พูดแบบนี้ได้ ต้องไม่ใช่ “ผู้นำ”
เป็นคำพูดที่สิ้นไร้ไม้ตอก หมดปัญญา หาทางเดินไปต่อไม่ถูก
ไม่ใช่คำของผู้นำ
กล่าวเฉพาะ “ผู้นำรัฐบาล” จะต้องมีสามัญสำนึกว่าเป็นบุคคลสาธารณะ จะไม่ด่ากลับคนที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานรัฐบาล
“ผู้นำ” ก็เป็นปุถุชน ทำความผิดพลาดได้ เพียงแต่ต้องไม่ปัดสวะ !
เป็นผู้นำจะต้องนำ
ยิ่งถ้าเป็นผู้นำรัฐบาลต้องกล้ารับผิดชอบ กล้ารับความผิดพลาดจากนโยบายและการปฏิบัติ ไม่ใช่เอาดีใส่ตัวแล้วโบ้ยความชั่วโยนความผิดให้กับผู้อื่น
จะว่าไปแล้วรัฐบาลนี้ก็คล้ายคณะละครเวทีที่มีแต่ผู้เล่นคนเดิมๆ เล่นบทซ้ำๆ
“นายกรัฐมนตรี” คนปัจจุบันเป็นคนคนเดียวกับหัวหน้าคณะรัฐประหาร พ.ค.2557 เป็นผู้นำรัฐบาลต่อเนื่องมาเกินกว่า 5 ปี จะมาแก้ตัวได้อย่างไรว่า “รัฐบาลนี้เพิ่งทำงานได้ 5 เดือน” ใครๆ จะโจมตีรัฐบาลได้อย่างไร
ถ้านายกรัฐมนตรีไม่มีอะไรอยู่ในหัว คิดไม่ออก บอกไม่ถูก มองไม่เห็นทางว่าจะไปทางไหนก็ไม่ควรเป็นจระเข้ขวางคลอง !?!!