คดีล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น พรรคอนาคตใหม่ มีฐานะเป็นผู้ถูกร้องลำดับที่ 1 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ 2 นายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่ 3 และคณะกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ ที่ 4
ทั้งหมดถูกร้องว่า ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ถึงกับจะต้องล้างเผ่าพันธุ์!?
น่าสังเกตว่า ในคำวินิจฉัย ที่ นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอ่านนั้น มีอยู่ประโยคหนึ่งกล่าวถึง “การกระทำ” ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งให้เลิกกระทำได้นั้น ต้องมีอยู่ 2 เงื่อนไขคือ
1.การกระทำนั้นจะต้องไม่ห่างไกลจนเกินเหตุ กับ 2.ต้องอยู่ระหว่างกระทำ และยังไม่สำเร็จเสร็จสิ้น
ศาลรัฐธรรมนูญจึงจะมีคำวินิจฉัยและสั่งให้เลิกกระทำนั้นได้
แต่กรณีของ “อนาคตใหม่” เป็นพรรคการเมือง ได้รับการจดทะเบียน เป็นที่ประจักษ์ว่า ฝักใฝ่ในระบบเลือกตั้ง ทั้งยังได้รับเลือกเป็นผู้แทนมีที่นั่งในสภาผู้แทนฯอย่างล้นหลาม
จะกลับกลายเป็น ผู้ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองไปได้อย่างไรกัน!?
กระนั้นในความแตกต่างหลากหลายทางทัศนคติ เมื่อมีผู้ข้องใจในข้อบังคับ นโยบายและสัญลักษณ์ของพรรคอนาคตใหม่ก็สามารถ “ร้อง” ให้ผู้มีอำนาจและหน้าที่วินิจฉัยซึ่งในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติเอกฉันท์ วินิจฉัยว่า “ไม่เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง”
ในคำวินิจฉัยได้ทบทวนเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า มุ่งหมายให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการปกป้องคุ้มครอง พิทักษ์รักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงให้ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่และมีอำนาจวินิจฉัยสั่งการให้เลิก “กระทำ”
แต่ถ้าว่ากันตามประวัติศาสตร์การเมืองโลกและการเมืองไทยแล้ว นักการเมืองและพรรคการเมืองในระบบเสรีประชาธิปไตยตลอดจนประชาชนผู้มีสิทธิและใช้สิทธิเลือกตั้งนั้น ไม่มีพิษสงอันใดที่จะโค่นล้มระบอบการปกครอง
คนมือเปล่าจะมีอาวุธปืน จะใช้อาวุธปืน นำพาเคลื่อนย้ายอาวุธปืนไปเพื่อปฏิบัติการช่วงชิงอำนาจรัฐ ก่อรัฐประหารหรือเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองไม่ได้
จงสอดส่องและสืบเสาะไปยังขุมกำลังคนและกำลังอาวุธ อย่าได้กลัวว่า “คนมือเปล่า” จะล้มล้างการปกครองฯ !?!!