ก่อนนายกรัฐมนตรีจะออกมาแถลง 2 เรื่องควบ คือ ไวรัสโคโรนาจากอู่ฮั่น กับฝุ่นพิษพีเอ็ม 2.5 นั้น รัฐบาลนี้ถูกถล่มหนักหนาสาหัสว่าไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่เอาไหน ไม่มีวิธีรับมือวิกฤต ไม่มีสำนึกของผู้อาสาหรือผู้รับใช้ ทำงานแบบเจ้าขุนมูลนาย มองไม่เห็นหัวคน
พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ ศรีอัมพร ศาลิคุปต์ เป็น 1 ในคนที่ถอดใจ
ท่านถึงกับว่า รู้สึกผิดหวังและหมดศรัทธาในวิธีการทำงานของรัฐบาลที่ไม่เห็นหัวคนไทยว่าเป็นคน หรือเห็นคนไทยเป็นชนชั้น 2 ไม่เคยใส่ใจในสุขภาพอนามัยทั้งเรื่องฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ซึ่งมีมาตั้งแต่เดือนธันวาคม
“รัฐบาลไร้น้ำยา ไม่มีแผน ไม่มีโครงการระยะสั้นระยะยาว ได้แต่ทำให้พ้นตัวไปวันๆ พอไวรัสโคโรนามา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนตัดไฟแต่ต้นลม สั่งปิดเมืองอู่ฮั่น ไม่ให้คนจีนเดินทางออกไปแพร่เชื้อโรคระบาด บังคับใช้กฎหมายจริงจังเคร่งครัดกับนักท่องเที่ยว บริษัททัวร์ แต่ไทยกลับเปิดประตูรับนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาโดยไม่จำกัด นั่นเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ของรัฐบาลไทยว่า รายได้จากนักท่องเที่ยวสำคัญกว่าชีวิต สุขภาพอนามัยของคนไทย ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่า ก่อนจีนจะห้ามคนเดินทางออกมานั้น มีนักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยติดเชื้อไปแล้วกี่คน”
ข้อสังเกตของท่านศรีอัมพรไม่ได้เกินเลย หรือเป็นการตื่นตูม !
เดิมที มีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาในไทย 8 ราย แต่ภายหลังนายกรัฐมนตรีไทยคุยโวผ่านไปได้วันเดียวเท่านั้น ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ก็ออกมายอมรับว่า “ยอดผู้ป่วยในไทยเพิ่มจาก 8 เป็น 14 ราย”
ที่พบใหม่ทั้งหมดเป็นนักท่องเที่ยวจีนจากเมืองอู่ฮั่นที่เดินทางมาไทยก่อน สี จิ้นผิง จะสั่งปิดเมืองและห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
เป็นไปตามข้อสังเกตของ “ท่านศรีอัมพร” ที่ว่า เพื่อไม่ให้ “คนจีน” นำเชื้อโรคร้ายออกไปสร้างปัญหาให้กับโลก “สี จิ้นผิง” จึงจัดไฟแต่ต้นลม นับเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และมีคุณธรรม
คนมีคุณธรรมจะไม่คุยโว ไม่อวดโอ่โอหัง ไม่ใช้ท่วงท่าขึงขังคุกคามคน
ไม่ต้องเชื่อในสิ่งที่ “ผู้นำ” พล่าม ความโอบอ้อมอารี มีเมตตา รักประชาชนดูได้จากการปฏิบัติเท่านั้น!?!!
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่