คําถามสำคัญภายหลังวิสามัญฆาตกรรม จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา คือสังคมไทยได้อะไรจากเหตุสะเทือนขวัญครั้งนี้บ้าง
ขึ้นอยู่กับมุมมองและวิจารณญาณของแต่ละคน
ก่อนจะเกิดเหตุการณ์นี้ “จ่า” แห่งกองทัพบกผู้ก่อเหตุไม่ได้มีวิถีทางและพื้นเพไปในทาง “อาชญากร” แม้แต่น้อย
“จ่าจักรพันธ์” ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็น “ทหารอาชีพ” ทำหน้าที่นักรบของประเทศ
แต่ชีวิตและจิตใจของ “จ่าจักรพันธ์” ถูกปู้ยี้ปู้ยำเสียผู้เสียคนจน “เสียสติ” เมื่อลงมือ “ฆ่านาย” และหลุดออกจากค่ายทหารก็เที่ยวไล่ล่าฆ่าคนบริสุทธิ์ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ราวจะใช้ “ความรุนแรง” แทนคำบอกกล่าวว่า จะยากดีมีจนยศสูงยศต่ำดำขาวก็เข้าถึง “ความตาย” ได้เสมอกัน
หลังเกิดเหตุการณ์นี้ ผบ.ทบ.ก็มีคำสั่ง
หนึ่ง กองรักษาการณ์ทหารบกต้องไม่มีปืนกลและกระสุนปืนกลเอาไว้ กับ สอง ให้ถอดลูกเลื่อนออก โดยให้ ผู้บังคับกองรักษาการณ์เป็นผู้เก็บรักษา
กองรักษาการณ์กลายเป็น “ยักษ์ไม่มีกระบอง” !
ต่อมาเมื่อมีกระแสวิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่า กองทัพบกเย็นชานิ่งเฉยทั้งที่ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ บาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. จึงต้องออกมาแสดงความเสียใจ
แต่ตอกย้ำว่า “แม้ผู้ก่อเหตุจะเป็นกำลังพลของกองทัพบก แต่ที่กระทำลงไปนั้นไม่ใช่ภารกิจของกองทัพ”
จะให้แปลความว่าอย่างไร “เรื่องของจ่า-ข้าไม่เกี่ยว” !?!
ทั้ง “คำสั่ง” และ “คำแถลง” ของ ผบ.ทบ.จึงไม่มี “เนื้อความ” ที่จะนำไปสู่การชำระสะสางหน่วยทหารให้สะอาด สุจริต ยุติธรรม
ชวนให้หวาดเสียวว่า ยังมีความกดดัน ความคับแค้นซึ่งเปรียบเสมือน “ระเบิดเวลา” หลงเหลืออยู่อีกมากน้อยเท่าใด
กองทัพถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรบกับอริราชศัตรู ต้องฝึกอาวุธและใช้อาวุธอย่างชำนาญ ต้องอยู่ในระเบียบวินัยเหล็กที่เคร่งครัด ไม่มีสิทธิเคลื่อนพลขนอาวุธสงครามออกนอกที่ตั้ง
แต่ในสังคมไทยไม่ค่อยจะมี “ตัวแบบ” ของทหารอาชีพ !
คนมีปืน พกปืนถือปืนจึงมักจะกำแหงชอบอวดโอ่โอหังคุกคาม “คนมือเปล่า”
ที่ว่า “จ่าบ้า” นั้นก็เพราะว่าขนปืนออกมาฆ่าคนไม่เลือกหน้า
ส่วนที่ไม่บ้า แต่เคลื่อนพลขนอาวุธออกมายึดอำนาจการปกครองย้อนยุคไปเกือบ 1 ศตวรรษนั่นละ จะเรียกว่าอย่างไร !?!!