‘หมอประทีป’ตั้งโต๊ะแจงสังคม ปัดข้อกล่าวหาฟอกเงิน 169 ล. ถูกสกัดนั่งเลขาฯสปสช.

กรณีกลุ่มพิทักษ์สิทธิพลเมือง นำโดย พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ตัวแทนกลุ่มฯ ออกมาร้องเรียนศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ(ศอตช.) และทำหนังสือถึง นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เกี่ยวกับการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ที่อาจมีความไม่ชอบมาพากล และขอให้ชะลอการพิจารณาแต่งตั้ง นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ ผู้สมัครเลขาธิการ สปสช.เป็นเลขาฯคนใหม่ในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ โดยอ้างว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณาและพบว่ามีมูล จน นพ.ประทีปดำเนินการฟ้องร้องผู้กล่าวหาไปแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์ราชการฯแจ้งวัฒนะ นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ อดีตรองเลขาธิการ สปสช. แถลงข่าวกรณีดังกล่าวว่า ข้อกล่าวหาต่างๆ ที่ พญ.เชิดชูและพวกออกมาให้ข้อมูลนั้นล้วนแต่เป็นเรื่องเดิมเมื่อปี 2558 ซึ่งเคยร้องเรียนบอร์ด สปสช.และ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช.ในสมัยนั้น โดยได้ร้องเรียนไปยังศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ซึ่งจากการตรวจสอบของหน่วยงานต่างๆ อาทิ คณะกรรมการติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายเงินภาครัฐ (คตร.) ป.ป.ท. ก็ชัดเจนว่าไม่พบการทุจริต เพียงแต่มีการใช้เงินที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 แต่เมื่อตนมาสมัครชิงตำแหน่งเลขาธิการ สปสช.คนใหม่ ก็เอาประเด็นเหล่านี้กลับมากล่าวหาตน โดยระบุว่า เพราะตนเป็นรองเลขาธิการ สปสช.น่าจะมีส่วนรู้เห็นและต้องรับผิดชอบด้วย

นพ.ประทีปกล่าวอีกว่า อย่างกรณีการจัดซื้อน้ำยาล้างไต พล.อ.ชาติอุดม ติตถะสิริ ประธาน คตร. ก็ให้สัมภาษณ์ว่า คตร.พิจารณาอนุมัติให้ สปสช.จัดหายาล็อตใหญ่ๆ ได้ เพราะหากให้สถานบริการจัดหาเองจะลำบากและได้ราคาแพง และไม่ได้มีการทุจริต ส่วน ป.ป.ช.ก็ไม่ได้เรียกผมไปสอบสวนเรื่องนี้ เพียงแต่ทำหนังสือเชิญให้ สปสช.ไปให้ถ้อยคำในประเด็นกระบวนการจัดทำสัญญาจัดซื้อน้ำยาล้างไต และยืนยันว่า สปสช.ไม่ได้มีการจัดซื้อน้ำยาล้างไตจากบริษัทเอกชนและได้รับผลประโยชน์จากการจัดซื้อน้ำยาล้างไตปีละ 30 ล้านบาท จากเงินสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐขององค์การเภสัชกรรม (อภ.) เพื่อเป็นส่วนลดตามที่ถูกกล่าวหา ซึ่ง อภ.ก็ทำหนังสือชี้แจงแล้วว่าไม่มีการให้งบดังกล่าวแก่ สปสช. และราคาน้ำยาล้างไตที่ขายให้ สปสช.ก็ต่ำกว่าราคาในท้องตลาด ที่สำคัญที่กล่าวว่าผมซื้อผ่านบริษัทเอกชน ไม่เป็นความจริง เพราะซื้อจาก อภ.เท่านั้น

“จากข้อกล่าวหาทั้งหมด ผมได้ทำเรื่องฟ้องศาลจังหวัดนนทบุรี คดีหมายเลขดำที่ อ.2496/2559 ความอาญาต่อ พญ.เชิดชู ข้อหาหรือฐานความผิดหมิ่นประมาท พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งศาลนัดไต่สวนวันแรกในวันที่ 29 สิงหาคม 2559 แล้ว” นพ.ประทีปกล่าว

Advertisement

นพ.ประทีปกล่าวว่า ส่วนกรณี นายอานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ได้เขียนบทความเผยแพร่กล่าวหาตนในเว็บไซต์ข่าวแห่งหนึ่ง ว่ามีการตกแต่งบัญชีเพื่อให้ สปสช.ได้รับประโยชน์ และ นพ.ประทีปได้รับมอบหมายให้ดูแลด้านเงินและบัญชี ซึ่งข้อเท็จจริงคือไม่มีการตกแต่งบัญชีแต่อย่างใด เพราะเป็นการโอนเงินค่าบริการทางสาธารณสุขให้แก่หน่วยบริการหรือ รพ. เพื่อแก้ไขสภาพคล่อง และมีการหักล้างทางบัญชีเมื่อหน่วยบริการส่งผลงานเข้ามาให้ สปสช. โดยไม่มีการเรียกคืน อีกทั้งตนไม่ได้รับมอบหมายให้ดูแลด้านการเงินและบัญชีตามที่มีการกล่าวหาเลย

นพ.ประทีปกล่าวอีกว่า ส่วนข้อกล่าวหากรณีการฟอกเงินจำนวน 169 ล้านบาทที่มีการเผยแพร่ในเฟซบุ๊กว่า เป็นเงินที่ สปสช.ส่งให้สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และมีตนเป็นผู้จัดการโครงการรับเงินด้วยนั้น ข้อเท็จจริงคือ เป็นโครงการบูรณาการการทำงานร่วมกันของ 3 หน่วยงานตามนโยบายนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น คือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สวรส. และ สปสช. โดยเงินนั้นเป็นเงินของ สสส.ให้ สวรส.เป็นผู้ดำเนินการแผนงานเพื่อสนับสนุนงานส่งเสริมป้องกันโรคของ สปสช. โดยตนได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทน สปสช.ไปดำเนินการที่เกี่ยวกับงาน สปสช. ไม่ได้รับเงินเดือนแต่อย่างใด เพราะถือเป็นหน้าที่ในตำแหน่งอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการชี้แจงเรื่องนี้ในการแสดงวิสัยทัศน์เพื่อคัดเลือกเลขาธิการ สปสช.ด้วยหรือไม่ นพ.ประทีปกล่าวว่า ตนจะมีการทำเอกสารชี้แจงเรื่องนี้เพิ่มเติมจากการแสดงวิสัยทัศน์ให้แก่กรรมการด้วย เพราะอาจมีการตั้งคำถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ส่วนจะรับรองตนเป็นเลขาธิการ สปสช.หรือไม่นั้น ก็ขึ้นกับการตัดสินใจของคณะกรรมการ ซึ่งตนไม่ขอก้าวล่วง ทั้งนี้ ไม่ว่าใครจะเป็นเลขาธิการ สปสช.คนใหม่ แต่สิ่งที่จะต้องเดินหน้าคือการปฏิรูประบบสาธารณสุข ซึ่งทุกฝ่ายต้องจับมือกันทำงานแก้ปัญหา โดย สธ.มีแผนปฏิรูป 20 ปี งานเฉพาะหน้า 18 เดือน ทุกหน่วยงานต้องช่วยกัน โดยเฉพาะ สปสช.และระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งพัฒนาขึ้นมา 15 ปียังต้องเดินไปข้างหน้าและพัฒนาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ซึ่งขณะนี้สถานการณ์ก็เอื้อต่อการจับมือทำงานให้ระบบสาธารณสุขไทยเข้มแข็ง

Advertisement

201607031318521-20030315182530

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image