กทม.เล็งเปิดทดลองเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวสถานีสำโรงธ.ค.นี้
เมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. วันนี้ (7 กรกฎาคม) ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) พร้อมด้วย นายอมร กิจเชวงกุล รองผู้ว่าฯ กทม. นายสยาม ศิริมงคล รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมคณะผู้บริหารเทศบาลเมืองสมุทรปราการ และคณะผู้บริหารรถไฟฟ้าบีทีเอส ลงพื้นที่เยี่ยมชมความคืบหน้าการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสำโรง
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวภายหลังว่า รถไฟฟ้าสายสีเขียวนี้ถือเป็นระบบที่เชื่อมระหว่าง กทม.กับสมุทรปราการ โดยในส่วนของ สถานีรถไฟฟ้าสำโรงนี้คาดว่าจะก่อสร้าง วางระบบและเปิดทดลองการเดินรถได้ในเดือนธันวาคม 2559 นี้ และคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้จริงในวันที่ 1 มีนาคม 2560 ซึ่งสถานีสำโรงนี้ถือว่าสร้างเสร็จก่อนกำหนดถึง 1 ปี ส่วนสถานีอื่นๆ นั้นอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการก่อสร้างเพื่อให้บริการประชาชนโดยเร็วที่สุด คาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยและสามารถเปิดให้บริการในทุกสถานีได้ภายในปี 2561ซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายให้ กทม.เป็นผู้ดูแลระบบการเดินรถ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนเป็นการเดินทางแบบไร้รอยต่อ โดยมีผู้ให้บริหารเพียงรายเดียว อีกทั้งอัตราค่าโดยสารไม่สูง
ผู้สื่อข่าวถามถึงอัตราค่าโดยสาร ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กล่าวว่า โดยในช่วงทดลองเดินรถจะไม่มีการเก็บค่าบริการ แต่เมื่อเปิดบริการจริงแล้วจะต้องมีการคำนวณอัตราค่าโดยสารใหม่อีกครั้งตามระบบที่วางเอาไว้ จากนั้นจะประกาศให้ประชาชนทราบได้รับทราบ ทั้งนี้ คิดว่าเมื่อเปิดใช้สถานีสำโรง คาดว่าจะมีประชาชนมาใช้บริการเพิ่มขึ้นอีกประมาณวันละ 150,000 คนต่อวัน จากเดิมที่มีผู้โดยสารประมาณ 800,000 คนต่อวัน
ทั้งนี้ สำหรับความคืบหน้าในการก่อสร้างนั้น ปัจจุบันด้านโยธาคิดเป็นร้อยละ 88.74 งานระบบรางร้อยละ 89.40 หากคิดเป็นภาพรวมของการก่อสร้างสามารถดำเนินการได้แล้วร้อยละ 88.85 โดยช่วงต่อขยายแบบริ่ง-สมุทรปราการนั้น มีทั้งหมด 9 สถานี ได่แก่ 1.สถานีสำโรง 2.สถานีปู่เจ้าสมิงพราย 3.สถานีเอราวัณ 4.สถานีโรงเรียนนายเรือ 5.สถานีสมุทรปราการ 6.สถานีศรีนครินทร์ 7.สถานีแพรกษา 8.สถานีสายลวด และ 9.สถานีเคหะสมุทรปราการ โดย การลงทุนของโครงการส่วนต่อขยายสายสีเขียวทั้ง 2 ช่วง คือ ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และ หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ที่กทม.ต้องจ่ายคืนรัฐบาลเป็นค่างานโยธา จำนวน 60,815 ล้านบาท และงานติดตั้งระบบ 15,500 ล้านบาท
