ตั้งแต่ต้นปีมานี้ สามเดือนล่วงแล้ว ตอนนั้นยังชื่อมีว่า “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่” กระหน่ำเมืองอู่ฮั่นจนระส่ำจนต้องปิดเมือง
ผู้นำของไทยยังหน้าระรื่นยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยที่ไม่มีเหลี่ยมไม่มีคมอะไรที่จะสู้ศึกกับโรคระบาดแม้แต่น้อย มีเพียง “ใบหน้า” ของปลัดสาธารณสุขที่ออกทีวีบ่อยครั้ง ทำหน้าที่ “บอกกล่าวเล่าขาน” เกี่ยวกับการระบาดของเจ้าไวรัสร้าย
ตอนเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “โควิด-19” นั้นระบาดลามไปทั่วโลกแล้ว จากตัวเลขผู้ป่วยจำนวนหมื่นก็พุ่งขึ้นเป็น 2 แสน
ความรุนแรงทวีคูณจากความล่าช้าของการตัดสินใจ
ท่วงท่าไทยไม่เปลี่ยนไป ปลัด สธ.ยังคงทำหน้าที่ “บอกกล่าวเล่าขาน” ส่วนรัฐบาลก็ไม่มีแนวความคิด ไม่มีนโยบายไร้ทิศทาง
ตัวเลขผู้ป่วยในไทย 43 คน นิ่งมา 3 เดือน
เพิ่งจะ “ฝีแตก” กลางเดือนมีนาคม ตัวเลขผู้ป่วย 43 คน จึงพุ่งขึ้นเป็นกว่า 200 คน ภายใน 2 สัปดาห์
“รัฐเจ้าคนนายคน” คณะนี้ไม่มีหัวคิดและไม่มีสำนึกรักประชาชนด้วยหัวใจจริงๆ จึงคิดผิดและทำผิดกันมาตลอดคือ ไม่ลงทุนกับการสาธารณสุขเพื่อป้องกันการระบาดของไวรัสโควิด-19 จนกระทั่ง บรรดากองเชียร์ถึงกับประกาศ “ปลดแอก” เลิกหนุนเลิกเชียร์ลุง
ควรสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมเพิ่งจะตาสว่าง !
มีอะไรมาบดบังดวงตา จึงทำให้เห็นเป็น “สามารถ” ทั้งที่ไร้ความสามารถ
แค่หน่วยราชการ โรงพัก ศาล ที่ว่าการอำเภอ เขต สนามบิน สถานีขนส่ง ตลาดสด ตลาดแห้ง เคยเห็นรัฐออกไปบริการ “พ่นยาฆ่าเชื้อ” เพื่อประชาชนบ้างไหม
หลักการที่ว่า “ตรวจให้-เมื่อมีไข้” นำไปสู่ความแพ้พ่ายราบคาบ
ทำไมไม่มีใครลุกขึ้นมาทวงถาม สิ่งที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ 2560
มาตรา 47 บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐ
วรรคสาม “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย”
“โควิด-19” โรคติดต่ออันตรายระบาดลุกลามจนทั่วทั้งโลกต้องหยุดกิจกรรมการสัญจร เคลื่อนย้ายไปมา หยุดบิน หยุดเที่ยว ปิดเมือง ปิดประเทศ
การ “รอให้เป็นไข้ก่อน” แล้วจึงตรวจให้ว่าติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ คือการเอาชีวิตประชาชนไปล้อเล่นกับความตาย
รัฐบาลนี้ปล่อยปละละเลยให้โรคติดต่ออันตรายแผ่คลุมคุกคามผู้คน
จงใจไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติใน “รัฐธรรมนูญ” !?!!