เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 10 และ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัด สธ. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ทั่วโลก ว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อ จำนวน 329,624 ราย ผู้ป่วยอาการหนัก 10,298 ราย รักษาหาย 96,958 ราย เสียชีวิต 14,433 ราย โดยประเทศที่พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในรอบวัน คือ อิตาลีที่มีผู้ป่วยเพิ่ม 5,560 ราย เสียชีวิตจำนวน 5,476 ราย ซึ่งมีจำนวนมากกว่าจีน และมีประเทศที่ยอดผู้ป่วยเพิ่มในหลักพัน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 4,395 ราย สเปน 3,107 ราย เยอรมนี 2,350 ราย อิหร่าน 1,028 ราย
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ในจำนวนของผู้ป่วยในประเทศไทย ข้อมูลเมื่อวันที่ 22 มีนาคม จำนวน 599 ราย แบ่งเป็น เพศชาย 370 ราย คิดเป็นร้อยละ 67.2 เพศหญิง 229 ราย คิดเป็นร้อยละ 32.8 ซึ่งอยู่ในช่วงวัย 30-39 ปี รองลงมาคือ 20-29 ปี โดยเป็นกลุ่มวัยทำงาน และพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 188 ราย ในจำนวนที่มากขึ้นนี้เกิดจาก
1.มีการตรวจหาผู้ป่วยเพิ่มในต่างจังหวัด 2.ปรับระบบนิยามใหม่จากเดิมที่ใช้ 2 ห้องปฏิบัติการ (แล็บ) ขณะนี้เหลือเพียง 1 แล็บ
“เป็นผลมาจากการค้างท่อมาหลายวันในก่อนวันที่ 20 มีนาคมนี้ จึงเป็นการยืนยันตัวเลขในระบบมากขึ้นในวันเดียวเป็นจำนวนหลักร้อย ขอยืนยันว่ามีเหตุหลายเหตุ ส่วนในวันนี้ที่พบ 122 ราย เริ่มเป็นการอัพเดตข้อมูลปัจจุบัน” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ขณะนี้มีรายงานจากห้องแล็บทั่วประเทศว่า มีผู้เข้าขอรับการตรวจทั้งหมดประมาณ 30,000 ตัวอย่าง โดยเป็นผู้เข้าเกณฑ์การสอบสวนโรค 10,000 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มีผลเป็นยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสเพียง 400 ราย คิดเป็นร้อยละ 4 ดังนั้นจำนวนที่เหลือ 20,000 ราย ไม่มีความจำเป็นในการตรวจหาเชื้อ เนื่องจากเป็นการเพิ่มภาระงานของแพทย์ ในส่วนของกระบวนการตรวจหาเชื้อจะต้องใช้ไม้พันสำลีที่ยาวมาก สอดเข้าไปในช่องคอจนถึงพื้นที่หลังจมูก ซึ่งผู้ที่ตรวจจะเกิดอาการเจ็บปวดได้
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า วันนี้มีการประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดย นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัด สธ. มีข้อสั่งการยกระดับทั่วประเทศ การประสานขอกำลังคนเพิ่มการคัดกรองที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองตามจุดต่างๆ จากกระทรวงกลาโหม และทางด้านกฎหมายได้มีการตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจประจำช่องทางการเข้าออกระหว่างประเทศ โดยใช้กลไกคณะกรรมการการโรคติดต่อแห่งชาติ โดยที่สนามบินสุวรรณภูมิ ให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขต 6 เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ สนามบินดอนเมือง มีผู้ตรวจราชการฯ เขต 4 เป็นผู้บัญชาการ สนามบินภูเก็ต ให้ผู้ตรวจฯ เขต 11 เป็นผู้บัญชาการฯ สนามบินเชียงใหม่ ผู้ตรวจฯ เขต 1 เป็นผู้บัญชาการ เช่นเดียวกับช่องทางการเข้าออกตามด่านทางบก ซึ่งด่านนั้นอยู่ที่จังหวัดใดก็ให้ผู้ตรวจราชการฯ เขตในพื้นที่นั้นเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ อาทิ ด่าน 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีผู้ตรวจฯ เขต 12 เป็นผู้ดูแล รวมถึง ด่านแม่สาย จ.เชียงราย ผู้ตรวจเขต 1 ดูแล ด่านแม่สอด จ.ตาก ผู้ตรวจฯ เขต 2 ดูแล ด่านหนองคาย ผู้ตรวจฯ เขต 8 ดูแล อุบลราชธานี ผู้ตรวจฯ เขต 10 ดูแล สระแก้ว ผู้ตรวจฯ เขต 6 ดูแล เป็นต้น
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวถึงการตรวจเชื้อในห้องแล็บ ว่า สธ.ได้หาวิธีที่เร็วขึ้นด้วยการเจาะเลือดตรวจหาแอนติเจนและแอนติบอดี้ อยู่ในกระบวนการให้ใบอนุญาตและทำการตรวจสอบความแม่นยำของผลตรวจ คาดว่าจะได้รับผลในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะเป็นการตรวจแบบใหม่ที่มีความรวดเร็ว แต่ขณะนี้ยังมีการตรวจรูปแบบเดิมในห้องแล็บ 44 แห่งทั่วประเทศ
ด้าน นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ในการตรวจแล็บมีการตรวจโรค 2 ลักษณะ คือ 1.ตรวจหาแอนติเจน ซึ่งตรวจได้ 3-5 วันหลังจากได้รับเชื้อไวรัส โดยเป็นวิธีปัจจุบันที่ใช้ตรวจอยู่ เนื่องจากได้ผลเร็ว 2.ตรวจแอนติบอดี้ หรือ ตรวจภูมิคุ้มกัน ซึ่งตรวจได้ 10-14 วัน หลังจากได้รับเชื้อไวรัส เป็นวิธีที่ง่ายและราคาถูกกว่า ดังนั้นการตรวจรูปแบบนี้จะต้องมีการแปรผลที่ชัดเจน
“การตรวจหาแอนติบอดี้หรือภูมิคุ้มกัน หมายความว่า หากเคยเป็น หรือเคยติดเชื้อ แต่หายแล้ว เช่น มีการติดเชื้อเมื่อ 1-2 เดือนที่แล้ว และหากมีการตรวจหาภูมิคุ้มกันก็จะมีผลเป็นบวก ดังนั้นการแปรผลจะต้องดี เพราะอาจจะผิดพลาดได้ เนื่องจากเชื้อไวรัสบางตัวภูมิคุ้มกันอาจจะขึ้นตลอดชีวิต บางกรณีอาจจะขึ้น 6-12 เดือน ดังนั้นภูมิคุ้มกันยังอยู่ ไม่ได้แปลว่าจะแพร่เชื้อได้” นพ.ศุภกิจ กล่าวและว่า ความเข้าใจเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากอาจมีผู้นำชุดตรวจหาเชื้อแอนติบอดี้ประเภทนี้มาจำหน่ายในราคาถูก และหากประชาชนนำไปตรวจหาเชื้อเอง ผลออกมาเป็นบวก ประชาชนอาจจะตระหนกและเป็นผลเสียได้ รวมถึงสถิติการเสียชีวิตเป็นผู้สูงอายุ แต่ผู้คนวัยกลางคนมีโอกาสน้อยกว่า แต่ความสามารถในการแพร่เชื้อเท่ากัน ดังนั้นขณะนี้ประชาชนที่กำลังจะเดินทางกลับไปต่างจังหวัด อาจจะเป็นผู้ที่นำเชื้อไวรัสจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) ไปยังภูมิลำเนาได้
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า สถานการณ์ช่วง 2-3 วันที่ผ่าน จะพบผู้ป่วยในจำนวนที่มากขึ้น เนื่องจากข้อมูลสถิติทางวิทยาศาสตร์พบว่า หากประเทศใดที่ผู้จำนวนผู้ป่วยมากขึ้นในหลักร้อย จะส่งผลให้พบผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และจะเกิดเป็นปัญหาของระบบทางสาธารณสุขที่รองรับไม่ทัน ขณะนี้ประเทศไทยยังอยู่ในสภาวะของช่วงเวลาทอง (golden period) ในการควบคุมโรค ดังนั้นประชาชนทุกคนจะต้องมีวินัยอย่างเคร่งครัดในการหยุดการแพร่เชื้อ เพื่อไม่ให้มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น
“ในทางยุโรปที่มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น เช่น อิตาลี อเมริกา อังกฤษ แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ ที่มีจำนวนผู้ป่วยมาก แต่สุดท้ายถูกเบนออกไปและพบผู้ป่วยน้อยลงได้ วันนี้ประเทศไทยอยู่ที่ 721 ราย หากเราไม่ป้องกันตนเอง เราจะเดินไปเหมือนยุโรปคือ ในอีกไม่กี่วันจะพบผู้ป่วยทะลุพัน และในวันนั้นทางการแพทย์จะรับมือได้มากน้อยแค่ไหน ถึงแม้จะทำดีที่สุด แต่ก็มีความเสี่ยงว่าจะเสียชีวิตเพิ่ม หากสังคมไม่ให้ความร่วมมือ วันหนึ่งรัฐบาลอาจจะมีความจำเป็นในการล็อกดาวน์ (Lockdown) พื้นที่ เราไม่อยากให้ถึงขนาดนี้ที่ต้องห้ามทุกคนออกจากบ้าน” นพ.ศุภกิจ กล่าว
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ส่วนประชาชนที่เดินทางออกต่างจังหวัดนั้นมีความเสี่ยงรับและแพร่เชื้อตั้งแต่ที่สถานีขนส่ง รวมถึงจะต้องนั่งรถไปในระยะเวลาที่ยาวนานในระบบปิด จึงขอความร่วมมือไปยังพื้นที่ปลายทางในการรายงานตัวและขอให้กักกันตนเองอยู่ที่บ้านอย่างน้อย 14 วัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีแพทย์เผยแพร่ข้อมูลว่าผู้ป่วยที่เกิดขึ้นในสนามมวยมีผู้ติดเชื้อมาจากประเทศอิตาลี เชื้อนั้นจะมีความรุนแรงกว่าเชื้อที่ได้รับจากประเทศอื่นหรือไม่ นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการรายงานว่าเชื้อในประเทศใดรุนแรงกว่าประเทศอื่น การแพร่ระบาดช้าหรือเร็วส่วนใหญ่ขึ้นจากระบบสาธารณสุขที่รองรับไม่ทัน จนทำให้ผู้ป่วยล้นสถานพยาบาล
เมื่อถามว่าแผนที่ที่ขึ้นในแต่ละจังหวัด สธ.ยึดข้อมูลจากภูมิลำเนา สถานที่พบ หรือยึดสถานพยาบาลที่พบผู้ป่วย นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า เบื้องต้นได้จากระบบของการเข้าตรวจในสถานพยาบาล แต่หากมีการเคลื่อนย้ายไปตรวจหลายที่ก็อาจจะมีข้อมูลเพิ่ม แต่ขณะนี้ สธ.กำหนดให้มีการตรวจแล็บ 1 แห่ง และกำลังดำเนินทำระบบกลางจัดทำข้อมูล
ด้าน นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า หากมีการเข้าดูข้อมูลจะต้องแปรผลให้ดี เช่น หากพบว่ามีผู้ป่วยใน 1 อำเภอ ไม่ได้แปลว่ามีการตั้งต้นเชื้อในอำเภอนั้น การกำหนดจุดว่ามีผู้ป่วยในจุดใด ไม่ได้หมายความว่ามีการตั้งต้นเชื้อในจุดนั้น เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดการรังเกียจกันในสังคม
เมื่อถามว่าอุปกรณ์ทางการแพทย์มีความเพียงพอต่อการรองรับผู้ป่วยจำนวนเท่าไร นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า สธ.มีการเตรียมไว้ให้มากที่สุด โดยมีเตียงรองรับผู้ป่วยรายไม่หนักประมาณ 10,000 เตียง และสำหรับผู้ป่วยหนัก 2,000-3,000 เตียง
“อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับความเร็วของการมา เนื่องจากเตียงอย่างเดียวหรือห้องอย่างเดียว ไม่เพียงพอ เพราะต้องมีหมอ พยาบาล มีคนดูแลผู้ป่วย ดังนั้นหากท่านค่อยๆ มา ก็จะไม่เป็นปัญหา แต่ถ้ามากันเยอะอย่างเช่นอิตาลี ก็จะเกิดปัญหา” นพ.ศุภกิจ กล่าว
เมื่อถามว่ากรณีน้ำยาที่ใช้ตรวจหาเชื้อมีรายงานว่าบางส่วนถูกส่งมาถึงที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว แต่ติดกระบวนการของคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ขณะนี้ข้อเท็จอย่างไร นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ไม่มีปัญหากรณี เนื่องจากส่วนที่ใช้ตรวจในประเทศยังเพียงพอแต่อาจจะเกิดความขาดแคลนเล็กน้อยในบางโรงพยาบาล (รพ.) หากมีการเข้าตรวจตามเกณฑ์การสอบสวนโรคก็จะไม่เกิดปัญหา