จีนเริ่มอนุญาตให้พลเมืองในมณฑลหูเป่ย์เดินทางได้ปกติแล้วหลังจากสั่งปิดเมืองเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19
ส่วน “นครอู่ฮั่น” เมืองหลวงของมณฑลหูเป่ย์ ซึ่งเป็นต้นตอการแพร่ระบาดโควิด-19 จะยกเลิก “คำสั่งห้ามเดินทาง” ในวันที่ 8 เมษายนนี้
นายแน่จริงและแน่มาก
ที่ประเทศไทยเพิ่งจะเริ่มต้นระทึกขวัญ !
ด้วยเหตุที่ รัฐบาลชะลอการคิดและการตัดสินใจมากว่า 2 เดือน จึงยังไม่รู้ว่า วันพรุ่งนี้ไทยจะไต่เขาที่สูงชัน หรือปีนเนินหลังเต่า
ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ แต่ด้วยเหตุที่ “ใจ” ไม่รับฟัง “หู” จึงไม่ได้ยินเสียงของบรรดาผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดที่อยู่นอกวงการเมือง ทำให้เวลาล่วงผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ในเชิง “ป้องกัน”
เข้าทำนองนั่งรอ “ฝีแตก” !
นั่นคือ ไม่มีแนวความคิด ไม่มีนโยบายบริหารจัดการสถานการณ์ที่ชัดแจ้ง ไม่มีมาตรการรับมือ ปล่อยไปตามยถากรรมจนกระทั่งจบลงด้วยหยาดน้ำตารัฐมนตรีและ “ปริศนาแห่งหน้ากากอนามัย” ที่ยังไม่กระจ่าง
โปร่งใส
ประเทศไทยจะเป็นไปตามโมเดลไหน !
ระหว่าง จีน ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ กลุ่มหนึ่ง กับ ยุโรปและอเมริกา อีกกลุ่มหนึ่ง
วันที่จีนเปิดมณฑล “หูเป่ย์” ซึ่งมีประชากรราว 60 ล้านคนนั้น ที่อเมริกา โควิด-19 ยังคงคุกคามหนัก ผู้คนตายในวันเดียว 100 คน
ส่วนที่อิตาลีก็ตาย 600 คน ในวันเดียว
ที่สุดเมื่อไทยถึงภาวะคับขันรัฐบาลก็ประกาศใช้ “พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน”
น่าสังเกตว่า รัฐบาลกึ่งทหารนี้ไม่รู้สึกเคอะเขินกับปฏิบัติการทางการเมืองที่นำไปสู่การนองเลือดในเดือนพฤษภา 2553 จึงนิยมชมชอบใช้ชื่อ “ศอฉ.”
พร้อมกันนั้น “กองทัพ” ก็ดูเหมือนจะไม่ยี่หระแต่อย่างใดกับการลงมือก่อรัฐประหารในอดีตจึงปลาบปลื้มถึงกับงัดเอา “โมเดลรัฐประหาร พ.ค.2557” มาใช้สำหรับหน่วยทหาร ให้คุมกำลังพลลงไปควบคุมพื้นที่แต่ละโซนเพื่อตรวจค้นตรวจสอบผู้คนขณะประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
คล้ายกับว่า ได้ซักซ้อมปฏิบัติการหน่วยทหารอีกครั้งตามแบบจำลอง “รัฐประหาร 2557”
ทั้งที่ “ศอฉ.” และ “รัฐประหาร 2557” คือความอับอาย
เป็นบาดแผลเหวอะหวะในหน้าประวัติศาสตร์การเมือง และเป็นหนี้ที่ค้างชำระของ “กระบวนการยุติธรรมไทย” !?!!