นพ.วชิระ กล่าวว่า สำหรับในเรื่องของคุณภาพเด็กเกิดใหม่นั้น แม้ว่าประเทศไทยจะทำได้ดีในเรื่องของการลดอัตราการเสียชีวิตของทารกหลังคลอด คือต่ำกว่า 10 ต่อแสนการเกิดมีชีพ หรือตายไม่ถึง 1% แต่ในเรื่องคุณภาพนั้นยังไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากน้ำหนักทารกแรกเกิดน้อยกว่าเกณฑ์ 2,500 กรัมร้อยละ 10.4 การกินนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือน มีเพียงร้อยละ 23.9 พัฒนาการล่าช้า ปี 2555 พบถึงร้อยละ 30 และปัญหาการเจริญเติบโตที่พบปัญหา ผอม เตี้ย และอ้วน จากภาวะโภชนาการและการขาดการออกกำลังกาย สิ่งที่น่าห่วงคือเมื่อเด็กเหล่านี้เติบโตเข้าสู่วัยแรงงานก็ย่อมมีจำนวนน้อยลงและเป็นแรงงานที่ไม่มีคุณภาพ ที่สำคัญยังต้องแบกรับดูแลผู้สูงอายุจำนวนมาก และต้องดูแลเด็กรุ่นใหม่อีก เรียกได้ว่าปริมาณและคุณภาพไม่เพียงพอเลย ก็จะยิ่งกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยได้
นพ.วชิระ กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ร่างนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2560-2569) ว่าด้วยการส่งเสริมการเกิดและการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยตั้งเป้าว่า อัตราเจริญพันธุ์รวมต้องไม่ต่ำกว่า 1.6 มีการวางแผนการตั้งครรภ์ ลดอัตราการตายมารดาและทารกแรกเกิด เด็กอายุ 0-5 ปีมีพัฒนาการสมวัยสูงดีสมส่วน เป็นต้น โดยมาตรการสำคัญคือ พัฒนาระบบบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพตั้งแต่ระยะก่อนสมรส ก่อนมีบุตร ตั้งครรภ์ คลอด และหลังคลอด เช่น หญิงวัยเจริญพันธุ์ต้องแก้มแดงไม่ซีด คือมีการให้เหล็กและโฟลิกนักเรียนหญิงตั้งแต่มีประจำเดือน โดยให้ครูเป็นผู้ดูแลในเรื่องนี้ เป็นต้น
“การให้เหล็กและโฟลิกแก่นักเรียนหญิงที่เริ่มมีประจำเดือนมา ไทยเริ่มทำมาแล้วประมาณ 2 ปี แต่คนไม่ค่อยทราบ และนักเรียนไม่ค่อยกิน เพราะคิดว่ามันเป็นยา อย่างสหรัฐอเมริกา ที่มีการใส่โฟลิกลงในขนมปัง ทำให้ทุกคนได้กินทั้งหมด อัตราความผิดปกติของทารกแต่แรกเกิดจึงน้อยมาก ขณะนี้ไทยกำลังหาอยู่ว่าจะใส่โฟลิกลงในอาหารประเภทใด เพราะหากใส่ลงในข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของคนไทยก็พบว่าทำให้มีรสชาติที่แปลกไป” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวและว่า นอกจากนี้ ยังจะเดินหน้าเรื่องการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อเอื้อให้คู่สมรสตัดสินใจมีบุตรและเลี้ยงดูบุตร เช่น สวัสดิการด้านที่อยู่อาศัย มาตรการทางภาษี เงินช่วยเหลือ การมีสถานรับเลี้ยงเด็กอ่อน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรงนี้ก็ต้องไปปรับปรุงกฎหมายรองรับ รวมไปถึงการผลักดันสิทธิลาคลอดให้เหมาะสมทั้งแม่และพ่อ ซึ่งขณะนี้ร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าวผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว โดยตั้งเป้าว่าจะต้องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนกันยายนนี้