ไม่ได้เป็นคำที่หมิ่นแคลน แต่เป็นคำแทน “เท่” อันมีความหมายในทางตรงกันข้าม
ถามจริงๆ ทำไมถึงต้องเขียนจดหมายไปถึง 20 อันดับมหาเศรษฐี
พลันที่มีข่าว ผู้คนทั่วไปก็สนใจจับตาว่าท่วงท่ารัฐบาลจะ “ไถเงิน” หรือไม่
แฮชแท็ก # รัฐบาลขอทาน จึงพุ่งปรี๊ดขึ้นเป็นอันดับ 1 ในโลกทวิตเตอร์ จน “วิษณุ” ต้องออกมาเบรกว่า อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ ให้รอดู “ข้อความ” ในจดหมายก่อน
เป็นความจริงว่า “มหาเศรษฐี” ส่วนมากเป็นคนไทยเชื้อสายจีน และตั้งแต่โบราณมา คนไทยเชื้อสายจีนที่เป็น “พ่อค้า” ก็มีฐานะประดุจ “เครื่องมือ” หาเงินให้กับรัฐบาลและข้าราชการ
การทำการค้าต้องอาศัย “อำนาจรัฐ” ให้ความคุ้มครอง แม้จะล่วงมาถึงยุคปัจจุบันพ่อค้าก็ยังถูกคนในระบบราชการใช้เป็นแขนขา
“จดหมาย” จาก “นายกรัฐมนตรี” เสมือนหนึ่งคำขอที่ไม่อาจปฏิเสธ !
จดหมายฉบับนั้นเริ่มต้นด้วยการ “เกริ่นนำ” ตามที่รู้กันอยู่แล้วว่า ประเทศกำลังเผชิญสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 จากนั้นก็พุ่งเข้าสู่ประเด็นสำคัญคือ
“ขอให้ท่านทำเอกสารนำเสนอสิ่งที่ท่านพร้อมจะทำเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือพี่น้องคนไทย โดยผมไม่ขอรับเป็นเงินบริจาค แต่ขอให้ท่านลงมือทำโครงการที่จะออกไปช่วยเหลือประชาชาคนไทยทุกกลุ่มทุกภาคส่วน ขอให้ช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ขอรับทราบภายในสัปดาห์หน้า”
เร่งรัดให้รวดเร็ว
ที่จริงแล้ว แนวความคิด แผนเผชิญเหตุ วิธีรับมือสถานการณ์ทั้งจากโรคระบาดและจากพิษเศรษฐกิจที่เกิดจากการล้มกระดาน รัฐบาลสั่งปิดกิจการค้าขายปิดบ้านปิดเมืองนั้นจะต้องมาจาก “ผู้นำ” และคณะรัฐบาลที่บริหารราชการแผ่นดิน
อาจจะมีคนชื่นชมว่า “เนื้อความ” ในจดหมายของนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้ไถเงินมหาเศรษฐีนั้น สวยงามแล้ว สง่าผ่าเผยแล้ว
แต่ถามจริงๆ เรื่องแบบนี้ทำไมต้องเขียน “จดหมาย” ไปอันดับ 1-20 มหาเศรษฐีเขียนโครงการและส่งการบ้านภายใน 1 สัปดาห์ ทำราวกับว่ามหาเศรษฐีของไทยใจจืดใจดำ ไม่ค่อยทำประโยชน์สาธารณะให้กับประเทศชาติ
ถึงจดหมายจะ “เลี่ยง” การแบมือขอรับบริจาค ไม่ให้เป็นที่ครหา แต่ “สำนวน” ในจดหมายนั้นก็คล้าย “คำสั่ง” ที่สั่งผู้อยู่ในบังคับบัญชาให้คิดแผน ให้เขียนโครงการ และให้ส่งการบ้านอย่าได้ชักช้า
นับเป็นการบริหารราชการแผ่นดินที่พิลึกพิลั่นอย่างยิ่ง !?!!!