ต้านแลนด์บริดจ์สงขลา-สตูล ชี้ชาวบ้านไร้ส่วนร่วม-กระทบสิ่งแวดล้อม-รุกเขตอุทยาน

ชาวบ้านสตูลออกต้านโครงการแลนด์บริดจ์สงขลา-สตูล ชี้ขาดการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน สร้างผลกระทบต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างหนัก รุกเข้าเขตอุทยานฯเภตรากว่า 4 พันไร่ ชาวมุสลิมร้องกระทบศาสนา มัสยิด 7 แห่งโดนผลกระทบ วอนผู้ใหญ่เจ้าของโครงการลงพื้นที่ฟังเสียงชาวบ้านอย่างแท้จริง ด้านไกด์สตูล แจงข้อมูลเส้นทางเดินเรือขนส่งผ่านช่องกลางระหว่างเกาะตะรุเตา-เกาะหลีเป๊ะ สร้างผลกระทบแนวปะการังโดยตรง

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 ก.ค. ที่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เครือข่ายประชาชนปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสงขลา-สตูล เดินทางมาร้องเรียนขอให้สผ. หยุดการพิจารณารายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โครงการทางรถไฟเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างท่าเรือฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน (แลนด์บริดจ์สงขลา-สตูล) ซึ่งเป็นส่วนเชื่อมต่อระหว่างท่าเรือน้ำลึกปากบารา และท่าเรือสงขลา 2 ด้วยเส้นทางรถไฟความยาวประมาณ 142 กม.

นายสมบูรณ์ คำแหง ตัวแทนเครือข่ายฯ กล่าวว่า ตามที่สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งจราจรทางบก (สนข.) กระทรวงคมนาคม ได้ศึกษาโครงการดังกล่าวฯ แต่เครือข่ายฯ เห็นว่ารายงานการศึกษามีข้อมูลที่บิดเบือนความจริง ไม่ถูกต้องครบถ้วน และไม่คำนึงถึงกระทบโดยรวมของชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งตลอดเส้นทางของโครงการนี้ มีชาวบ้านคัดค้านมาโดยตลอด ขาดการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน ที่สำคัญส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง สถานีต้นทางอยู่ที่ท่าเรือน้ำลึกปากบารา ซึ่งอยู่กลางทะเลห่างจากฝั่ง 4.2 กม. และอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา ซึ่งจะโดนถอนสภาพอุทยานฯรวม 4,734 ไร่ บริเวณดังกล่าวคือ อ่าวปากบารา ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของคนสตูล ส่วนสถานีปลายทางสวนกง อ.จะนะ จ.สงขลา เป็นพื้นที่ที่ทรงคุณค่าทางทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งชาวบ้านกำลังดำเนินการเสนอให้พื้นที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติแห่งใหม่ของจ.สงขลา จากผลกระทบดังกล่าวนี้จึงอยากให้หน่วยงานนำไปศึกษาใหม่ เพราะที่ผ่านมาถือว่าไม่เคารพสิทธิความเห็นของประชาชนในพื้นที่ และไม่เชื่อมโยงข้อมูลและข้อเท็จจริงเลย

ด้านนางเจ๊นะ วัฒพันธุ์ ตัวแทนชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากโครงการแลนด์บริดจ์ฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านไม่เคยรับรู้หรือมีส่วนร่วมในโครงการดังกล่าวเลย เพิ่งมาทราบตอนที่หน่วยงานลงพื้นที่ปักหมุดเพื่อสร้างรถไฟรางคู่ ที่สำคัญจะกระทบถึงความสำคัญของศาสนา เพราะมัสยิดรวม 7 แห่งต้องได้รับผลกระทบ การศึกษาโครงการฯ รัฐควรให้ความชัดเจนกับชาวบ้าน แต่การที่ศึกษาโดยชาวบ้านไม่รู้เห็น ถือเป็นความแตกแยกในชุมชน ไม่ใช่อยากจะทำโครงการก็ทำ หรืออยากยื่นเสนอค่าเวนคืนก็ทำโดยไม่ถามความคิดเห็นของชาวบ้านเลย ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่ดำรงชีพด้วยเศรษฐกิจ 3 ด้านอยู่แล้ว ได้แก่ การท่องเที่ยว การประมงพื้นบ้าน และการเกษตร แต่หากทำโครงการนี้จะส่งผลกระทบต่อชาวบ้านทั้งหมด

ADVERTISMENT

“อยากขอให้ผู้ใหญ่เจ้าของโครงการอย่าง กระทรวงคมนาคม กรมเจ้าท่า ลงพื้นที่ตั้งเวทีและสอบถามความคิดเห็นของประชาชนอย่างแท้จริง ว่าการศึกษาที่ผ่านมานั้นถูกต้อง ครบถ้วนจริงๆ หรือไม่ ไม่ควรอ้างถึงความเจริญของประเทศ หรือนำประเทศสิงคโปร์เป็นแบบอย่างความเจริญ เพราะไทยกับสิงคโปร์ไม่เหมือนกัน สิงคโปร์คอรัปชั่นน้อย ฉะนั้นจึงไม่เหมือนรัฐบาลไทย ซึ่งหากรัฐบาลต้องการพัฒนาให้ประเทศเจริญ ต้องพัฒนาที่ประชาชนก่อน” นางเจ๊นะ กล่าว

นายเชาวลิต ชูสกุล มัคคุเทศก์ในพื้นที่จ.สตูล และสมาชิกกลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ปะการัง หรือกลุ่มรีฟการ์เดี้ยน ไทยแลนด์ กล่าวว่า จากการสำรวจพื้นที่แนวปะการังของผู้ชำนาญการ พบว่า แนวปะการังของจังหวัดสตูลมีเยอะ และอุดมสมบูรณ์มากที่สุดของไทย ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของสตูลและของประเทศที่สร้างรายได้ไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านต่อปี ซึ่งหากโครงการแลนด์บริดจ์ฯเกิดขึ้น พื้นที่แหล่งท่องเที่ยวจะกลายเป็นนิคมอุตสาหกรรม มีเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ เส้นทางเดินเรือจะผ่านช่องกลางระหว่างเกาะตะรุเตา และเกาะหลีเป๊ะ ฉะนั้นแนวปะการังจะได้รับผลกระทบทันที ซึ่งไม่ใช่แค่แนวปะการังเท่านั้นแต่โครงการนี้สร้างผลกระทบโดยรวมทั้งหมด เพราะเส้นทางรถไฟรางคู่ผ่านทั้งที่อยู่อาศัย ที่ดินทำกิน ผ่านมัสยิดที่เป็นศูนย์รวมของชาวมุสลิม และประเด็นสำคัญ คือ ขณะนี้ชาวบ้านไม่รู้ว่าพวกเขาจะโดนผลกระทบกับชีวิตอย่างไรบ้าง เพราะหน่วยงานไม่เคยชี้แจงผ่านชาวบ้านเลย

ADVERTISMENT

ขณะที่นายสุโข อุบลทิพย์ ผอ.สำนักวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สผ. กล่าวว่า รายงานอีไอเอโครงการแลนด์บริดจ์ฯ ได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการชำนาญการ (คชก.) ตั้งแต่เดือน ก.พ. 59 ทั้งนี้สผ. จะนำเรื่องร้องเรียนของชาวบ้านในครั้งนี้ ยื่นเสนอร่วมกับการพิจาณาของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ในวันที่ 1 ส.ค. นี้ด้วย

สำหรับรถไฟทางคู่เส้นทางดังกล่าวเป็นโครงการสะพานเศรษฐกิจหรือ แลนด์บริดจ์ ของกระทรวงคมนาคม ที่บรรจุอยู่ในแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทยระยะ 8 ปี (2558-2565) เป็นเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อการเดินทางและการขนส่งสินค้าจากท่าเรือปากบารา บริเวณฝั่งอันดามันไปยังท่าเรือสงขลาแห่งที่ 2 ในฝั่งอ่าวไทย และเชื่อมต่อไปยังจีนตอนใต้ ซึ่งหากสร้างเป็นรถไฟทางคู่จะช่วยลดระยะเวลาการขนส่งได้ 2 วัน เมื่อเปรียบเทียบกับระบบขนส่งทางน้ำในปัจจุบันที่ใช้เส้นทางเรืออ้อมผ่านช่องแคบมะละกา โดยโครงการดังกล่าวจะครอบคลุมพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สตูล ประกอบด้วย อ.ละงู, ท่าแพ, ควนกาหลง และควนโดน และ8 อำเภอของ จ.สงขลา ประกอบด้วย อ.รัตนภูมิ, ควนเนียง, บางกล่ำ, หาดใหญ่, นาหม่อม, จะนะ, คลองหอยโข่ง และสะเดา

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image