ตร.จับพิรุธ ”แม่ปุ๊ก” ผิดธรรมชาติ ”แม่” ลูกป่วยแทนที่จะดูแล โพสต์โซเชียลดราม่าเรียกเงินบริจาค แถมเด็กกลัวแม่ ส่วนลูกคนเล็ก ตร.ยังไม่ให้น้ำหนัก อ้างว่าท้องเอง
กรณีตำรวจกองปราบจับกุม น.ส.นิษฐา วงวาล หรือแม่ปุ๊ก ในข้อหา “รับไว้ซึ่งเด็กโดยมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ, พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย, ฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ฉ้อโกงประชาชน” ที่ก่อเหตุหลอกลวงชาวเน็ตให้สั่งซื้อสินค้าต่างๆ ผ่านเฟซบุ๊กโดยอ้างว่าต้องการนำเงินไปรักษา ด.ญ.อมยิ้ม อายุ 3 ขวบ ที่ป่วยเป็นโรคประหลาดก่อนที่เด็กจะเสียชีวิตไปเมื่อปลายปี 2562 ต่อมา แม่ปุ๊กอ้างว่า ด.ช.อิ่มบุญ อายุ 3 ขวบน้องคนเล็กได้ป่วยแบบเดียวกัน แต่เมื่อแพทย์ตรวจสอบอาการเด็กแล้วพบพิรุธว่าอาจถูกสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนทำลายร่างกาย ขณะที่ตัวแม่ปุ๊กกลับได้เงินช่วยเหลือไปร่วม 20 ล้านบาท
ความคืบหน้าวันที่ 23 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานจากกองบังคับการปราบปรามว่า หลังการจับกุมผู้ต้องหา พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. ยังสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ป. ลงพื้นที่สืบหาพยานหลักฐานอย่างต่อเนื่องเพื่อพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีดังกล่าว ส่วนสำนวนคดีนี้ เดิมอยู่ที่ สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ซึ่งมีบุคลากรการแพทย์มาแจ้งความไว้ แต่ด้วยข้อจำกัดต่างๆ จึงเสนอเรื่องให้โอนคดีมาอยู่ในความรับผิดชอบของตำรวจกองปราบเป็นหน่วยงานหลัก ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน
เบื้องต้นตำรวจตั้งประเด็นข้อสงสัยทางคดีกว่า 20 เรื่อง โดยเฉพาะการที่ ด.ช.อิ่มบุญ ซึ่งได้รับการรักษาจนปลอดภัยแล้วนั้นเป็นบุตรแท้ๆ ของ น.ส.นิษฐา ผู้ต้องหาจริงหรือไม่ แม้ว่าในใบสูติบัตรจะยืนยันชัดเจนว่า น.ส.นิษฐา เป็นมารดาถูกต้องตามกฎหมาย แต่เนื่องจากกฎหมายเกี่ยวกับการแจ้งเกิดบุตรนั้นยังมีช่องโหว่บางอย่างที่ทำให้บุคคลที่ไม่ใช่บิดามารดาที่แท้จริงของเด็กสามารถจดทะเบียนในการเป็นมารดาของเด็กได้ จึงจำเป็นจะต้องตรวจดีเอ็นเอ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของ น.ส.นิษฐา และ ด.ช.อิ่มบุญ ส่งไปตรวจพิสูจน์ทราบตามหลักนิติวิทยาศาสตร์แล้ว คาดว่าน่าจะทราบผลภายในสัปดาห์หน้านี้
รายงานข่าวแจ้งว่า มูลเหตุที่ทำให้เกิดข้อสงสัยในประเด็นต่างๆ เป็นผลจากพฤติกรรมที่ผิดแปลกธรรมชาติของผู้เป็นแม่ เนื่องจากในช่วงที่ ด.ช.อิ่มบุญ ยังมีอาการป่วยหนักอยู่นั้น ธรรมชาติของคนเป็นแม่ควรจะเอาใจใส่ดูแลลูกจนไม่มีเวลาคิดหรือทำอย่างอื่น แต่ น.ส.นิษฐา กลับยังคงสนใจหรือมุ่งแต่เรื่องการถ่ายคลิปวิดีโอโพสต์ข้อความลงในสื่อโซเชียลเพื่อสร้างกระแสรับเงินบริจาคจากประชาชน และยังมีข้อสังเกตเรื่องการส่งตัว ด.ช.อิ่มบุญ ไปอยู่ในความดูแลของทางแพทย์ เด็กจะมีอาการดีขึ้นจนเกือบหายเป็นปกติ แต่เมื่อเด็กกลับไปอยู่ในความดูแลของ น.ส.นิษฐา ไม่นานก็จะมีอาการทรุดลงอย่างหนัก อีกทั้งเด็กยังแสดงอาการหวาดกลัวไม่อยากเข้าใกล้หรือติดต่อกับ น.ส.นิษฐา โดยพฤติกรรมดังกล่าวของเด็กจะเห็นได้อย่างชัดเจนในทุกๆ ครั้งที่น.ส.นิษฐา โทรศัพท์ติดต่อมาหา ด.ช.อิ่มบุญ ขณะรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แต่ ด.ช.อิ่มบุญกลับเลือกจะกดตัดสายทิ้งไม่ยอมพูดคุยกับ น.ส.นิษฐา ซึ่งผิดธรรมชาติของเด็กในวัย 2 ขวบที่มักจะติดแม่ไม่ยอมให้ห่างตัว โดยเฉพาะกรณีแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังเด็กจะยิ่งติดแม่มากกว่าเด็กปกติทั่วไป
เมื่อเจ้าหน้าที่สอบถามประวัติความเป็นมาของผู้เป็นพ่อ ด.ช.อิ่มบุญนั้น น.ส.นิษฐากลับไม่สามารถยืนยันตัวตนได้มากนัก อ้างว่าก่อนหน้าที่จะตั้งครรภ์ ด.ช.อิ่มบุญ ได้ไปเที่ยวที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ก่อนจะไปพบเจอกับชายหนุ่มคนหนึ่งจนมีสัมพันธ์ลึกซึ้งและคบหากันในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่ 3 วัน ก่อนทั้งคู่จะเลิกรากันไป โดยที่ น.ส.นิษฐาเองก็ไม่ทราบด้วยว่าหลังจากนั้นตนเองได้ตั้งครรภ์ เพราะเห็นว่าประจำเดือนยังมาปกติ ซึ่งกว่าจะมารู้ตัวว่าตั้งท้อง ด.ช.อิ่มบุญ อายุครรภ์ก็เกือบ 9 เดือน แต่ท้องไม่ได้โตมากจนผิดปกติแต่อย่างใด จึงทำให้ในช่วงที่ตั้งท้อง ด.ช.อิ่มบุญ นั้นไม่เคยมีการฝากท้องกับทางโรงพยาบาล ประกอบกับจากการสอบถามพยานบุคคลใกล้ชิดของ น.ส.นิษฐา ส่วนใหญ่ต่างยืนยันว่าก่อนจะพบ ด.ช.อิ่มบุญ นั้นไม่เคยเห็น น.ส.นิษฐา ตั้งครรภ์มาก่อน แต่ทราบว่ามีบุตรตอนที่ น.ส.นิษฐา พา ด.ช.อิ่มบุญ กลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว ทำให้เจ้าหน้าที่มองว่าคำกล่าวอ้างของ น.ส.นิษฐา นั้นยังไม่มีน้ำหนักมากเพียงพอ หากผลการตรวจพิสูจน์ออกมาว่าดีเอ็นเอออกมาพบว่า น.ส.นิษฐา ไม่ได้เป็นแม่ที่แท้จริงของ ด.ช.อิ่มบุญ นั้น น้ำหนักความน่าเชื่อถือในคดีทำร้ายเด็กก็จะมีเพิ่มมากขึ้นไปด้วย
รายงานเผยต่อว่า กรณีที่ น.ส.นิษฐา มักกล่าวอ้างกับบุคคลอื่นว่ามีอาชีพเป็นเภสัชกร จากการตรวจสอบประวัติพบว่าไม่ได้เป็นเภสัชกรตามที่กล่าวอ้าง แต่เคยเรียนเภสัชกรอยู่ 3 ปี แล้วไม่จบหลักสูตรการศึกษาขณะที่การตรวจสอบบัญชีธนาคารต่างๆ ที่เปิดขึ้นเพื่อรับบริจาคนั้นเบื้องต้นพบว่า มี 4 บัญชี โดยมี 3 บัญชีถูกเปิดในชื่อแม่แท้ๆ ของ ด.ญ.อมยิ้ม บุตรบุญธรรมที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ ส่วนอีก 1 บัญชีเปิดในชื่อของ น.ส.นิษฐา ทั้งนี้จากการตรวจสอบบัญชีธนาคารทั้งหมดพบว่า มียอดเงินจากผู้บริจาคเข้ามาจำนวนกว่า 10 ล้านบาท จากยอดผู้บริจาคกว่า 3,000 คน ซึ่งโอนเงินเข้ามา 8,000 ครั้ง จนมีเงินหมุนเวียนในบัญชีดังกล่าวทั้งหมดราว 20 ล้านบาท
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้สอบถามไปยังแม่แท้ๆ ของ ด.ญ.อมยิ้ม ซึ่งได้ชี้แจงว่า ก่อนหน้าบุตรสาวจะเสียชีวิต น.ส.นิษฐาติดต่อมาขอให้ช่วยเปิดบัญชีธนาคาร โดยอ้างว่าจะนำไปใช้เป็นหลักฐานการทำประกันให้กับ ด.ญ.อมยิ้ม จึงหลงเชื่อเปิดบัญชีไปโดยไม่ทราบว่าจะนำไปใช้ในการสร้างความน่าเชื่อถือหลอกรับบริจาคเงินและใช้หลอกขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งการเปิดบัญชีนี้ทำให้แม่ของ ด.ญ.อมยิ้ม ถูกผู้เสียหายบางรายที่ถูกฉ้อโกงเงินแจ้งความเอาผิดด้วย ก่อนจะชี้แจงข้อเท็จจริงให้ผู้เสียหายได้ทราบในภายหลัง
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับมูลเหตุหลักในการฉ้อโกงเงินบริจาคนั้น เจ้าหน้าที่เชื่อว่าน่าจะมาจากปัญหาหนี้สิน หรือการแบกรับภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมากของ น.ส.นิษฐา เนื่องจากแนวทางสืบสวนพบว่าก่อนหน้านี้ น.ส.นิษฐา มีปัญหาขัดสนด้านเงินพอสมควรจึงทำให้จำเป็นต้องสร้างเรื่องขึ้นมา เนื่องจากการตรวจสอบประวัติค่ารักษาพยาบาลของ ด.ญ.อมยิ้ม ในโรงพยาบาลที่รักษาครั้งสุดท้ายตัวก่อนเสียชีวิตพบว่ามียอดค่ารักษาเพียง 1 ล้านบาท แต่ยอดเงินบริจาคที่ได้รับตอนนั้นเริ่มมีเข้ามาหลายล้านบาทมากพอค่าใช้จ่ายแล้ว แต่ น.ส.นิษฐา ยังคงเปิดรับบริจาคต่อ ทั้งนี้เพื่อให้ข้อสงสัยคลี่คลาย เจ้าหน้าที่จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลที่ ด.ญ.อมยิ้ม รักษาตัวก่อนหน้าที่จะย้ายมา รพ.ธรรมศาสตร์ รังสิต และดูรายจ่ายอื่นๆ ของ น.ส.นิษฐา ว่าสอดคล้องกับเงินที่หมุนเวียนในบัญชีหรือไม่