ประวัติศาสตร์ยืนยันว่า “ทหาร” มีอุดมการณ์
เริ่มจาก กบฏ ร.ศ.130 (พ.ศ.2454) จนถึง ปฏิวัติ 2475 ทหารที่ร่วมในขบวนการล้วนมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญนิยม”
จึงมีวาทกรรม “กองทัพมีหน้าที่ปกป้องรัฐธรรมนูญ”
นั่นคือเหตุการณ์เมื่อ 88-109 ปีก่อน
มองจากประวัติศาสตร์ “อนาคต” น่าจะให้ความหวังว่าพัฒนาสืบเนื่องไป ก้าวหน้าและก้าวไกล
ไม่ว่ากรณีใดๆ ในการต่อสู้ทางอุดมการณ์ไม่ควรจะใช้อาวุธ แต่นั่นเป็นเพียง “ความหวังดี” ที่ไม่อยากเห็นการใช้อาวุธประหัตประหารของคนในชาติเดียวกัน
แต่ “ความหวังดี” มักตรงกันข้ามกับความจริงที่ปรากฏ
ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 แล้วจะเรียกหรือไม่เรียกว่า การต่อสู้ทางอุดมการณ์ก็ตามในการช่วงชิงอำนาจรัฐไทยล้วนแต่ใช้ “กำลังทหาร” และ “ปืน”
เป็นกำลังทหารและปืนที่มาจากกองทัพ
“กองทัพ” ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นและฝึกฝนให้มีวินัยดังคำกล่าวที่ว่า “กองทัพที่ไร้วินัยก็คือกองโจร”
โทษของทหารที่หนีทัพยังถึงกับ “ประหารชีวิต”
“วินัยเหล็ก” จึงทำให้ต้องรับคำสั่งและทำตามคำสั่งโดยปราศจากข้อสงสัย
ภายหลังปฏิวัติ 2475 กำลังพลของกองทัพกับอาวุธของกองทัพถูกนำไปใช้ในการปราบปรามศัตรูทางการเมืองกับค้ำบัลลังก์ให้กับผู้นำทหารที่ยึดอำนาจทางการเมืองด้วยการก่อรัฐประหาร
ตั้งแต่รัฐประหาร 2490 เป็นต้นมา ที่ว่า “กองทัพมีหน้าที่ปกป้องรัฐธรรมนูญ” นั้นก็เปลี่ยนเป็น “ปกป้องผู้นำรัฐประหาร”
กองทัพถูกผู้นำทหารชักนำไปรับใช้การเมืองจนก่อรูปเป็น “ระบอบการปกครอง” หนึ่งที่ยังประโยชน์แก่พวกพ้องน้องพี่ สลับฉากกับ “การเลือกตั้งทั่วไป” ที่เปรียบเสมือนรูระบายไม่ให้สังคมถึง “จุดเดือด”
การต่อสู้ทางอุดมการณ์ระหว่าง “ลัทธินิยมทหาร” กับ “ประชาธิปไตย” ดำเนินสืบเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2490 ผู้ขัดขวางย่อมมีอันเป็นไป
รูปแบบการทำลายก่อน พ.ศ.2500 คือสาดโคลนแล้ว “ยิงทิ้ง”
แต่หลัง 2500 ใช้กฎหมายยัดเยียดข้อกล่าวหาแล้ว “ประหารชีวิต”
“6 ตุลา 2519” ล้อมฆ่า !
พฤษภา’53 “กระชับวงล้อม”
เป็นการต่อสู้ทางอุดมการณ์
พรรคการเมืองกับนักการเมืองพลเรือนซึ่งไม่เคยก่อการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ไม่เคยสมคบคิดกันฉีกรัฐธรรมนูญ ไม่มีไม่ใช้อาวุธ ไม่มีกองกำลังเป็นฐานสนับสนุน จะถูกทำลายป้ายสี ถูกยุบพรรค
ไม่ต้องชะเง้อคอรอคอย นี่ไม่ใช่ “การเปลี่ยนผ่าน” !?!!