เหยี่ยวถลาลม : เพื่อลูกหลาน
อย่าเชื่อเพียงเพราะคนที่พูดนั้นเป็นหรือเคยเป็นทหาร อย่าเชื่อเพียงเพราะเคยเป็นผู้นำกำลังรบพร้อมอาวุธเข้าก่อรัฐประหาร อย่าเชื่อเพียงเพราะคนนั้นพูดเสียงดัง อย่าเชื่อเพียงเพราะอวดอ้างว่าจะทำตามสัญญา ขอเวลาไม่นานแล้วความสุขจะคืนกลับมา…
เรียนรู้ จากการสัมผัส เก็บภาพ ประมวลภาพ ลำดับภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วครุ่นคิดวินิจฉัยไตร่ตรองเองก็จะพบคำตอบว่า การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์นั้นเป็นการทำ “เพื่อลูกหลาน” จริงหรือไม่
แผนการใช้งบประมาณบอกทิศทาง “ความคิด” ของผู้นำประเทศ
ตาไม่บอดจึงมองเห็นภาพในวันข้างหน้า มีปัญญาจึงสามารถประเมินความเสี่ยงในอนาคตได้ว่าประเทศหรือโลกจะเผชิญกับภัยคุกคามชนิดใด สงคราม การศึกษา การพัฒนามนุษย์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การเมือง เศรษฐกิจ การค้าการพาณิชย์ สังคม วัฒนธรรม การเมือง การสาธารณสุข ฯลฯ
มีเรื่องราวหลายด้านหมักหมมต้องพลิกรื้อแก้ไขใหม่ซึ่งผู้นำรัฐบาลที่มาจากทหารมองไม่เห็น
แต่ “คนนอก” เห็นผลประโยชน์ที่ทับซ้อนจากแผนการใช้งบประมาณ
ดังที่ พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายสับ “งบฯกลาโหม” ว่าเป็น “งบลวงพราง”
“ลวง” ว่าลด แต่ไม่ยอมลดราวาศอก
ทำทีเหมือน “โอนงบคืนไป” 17,000 ล้านบาท แต่ในงบประมาณปี 2564 กลาโหมได้งบนั้นกลับคืนมาเพื่อไปซื้อเรือดำน้ำกับเครื่องบินกองทัพอากาศสมดังใจหมาย
“พราง” งบผูกพันที่กลาโหมมีภาระต้องจ่ายสูงถึง 173,144 ล้านบาท
“อำพราง” ตัวเลขจากธุรกิจ สนามมวย สนามกอล์ฟ โรงแรม ปั๊มน้ำมัน ไม่ใส่เข้าไปในเงินนอกงบประมาณของกองทัพ ไม่มีการนำส่งคืนคลัง ซึ่งถ้าไม่อยากให้ดูประหนึ่งรัฐอิสระก็ควรวางแบไว้บนโต๊ะประเทศไทยให้เห็นกันจะจะ
รัฐบาลที่ประกอบสร้างขึ้นเพื่อ “ผู้นำ” ที่เป็นอดีตหัวหน้าคณะรัฐประหารนี้ไม่สะทกสะท้านกับสถานการณ์อื่นใดในโลก ขณะที่มหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร จีน ยุโรป รัสเซีย และญี่ปุ่น ต่างก็ตะลึงมึนงงกับภัยคุกคามที่ “คาดไม่ถึง” จากโควิด-19
โลกในวันข้างหน้าเต็มไปด้วยความผันผวนไม่แน่นอน
วิเคราะห์จากงบประมาณปี 2564 ที่ตั้งไว้ 3.3 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นรายจ่ายประจำ 2.5 ล้านล้านบาท แล้ววินิจฉัยได้ว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้มีหัวคิด
แต่อยากมีอยากได้อยากเป็น จึงต้องอาศัย “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” เป็นคัมภีร์นำทาง
เป็นวิบากกรรมของรุ่นลูกรุ่นหลาน !?!!