เหยี่ยวถลาลม : ไม่เห็นอนาคต
เศรษฐกิจแย่มาตั้งแต่รัฐบาล “ประยุทธ์นี้” สืบอำนาจต่อจาก “รัฐบาลประยุทธ์โน้น”
พอมาเจอโควิด-19 ต้นปีนี้ เครื่องยนต์ 2 ตัวหลักที่ใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยคือ “การท่องเที่ยว” กับ “การส่งออก” ดับสนิท สถานการณ์ยิ่งทรุดหนัก
ความอยากมี อยากได้ อยากเป็นของ “3 ป.” กลายเป็นทุกขลาภ!
ที่เหลือในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ทุกคนต่างดิ้นรนเพียงเพื่อไม่ให้ตายเร็วเกินไป
ส่วนในปี 2564 ไม่มีใครรู้อนาคต!
การเมืองกับเศรษฐกิจเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันทั้งในเชิงตรรกะและจิตวิทยา
การออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลประยุทธ์ของ “กลุ่มเยาวชนปลดแอก-Free YOUTH” และกลุ่มสหภาพนักเรียนนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) เป็นความปกติในสังคมที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
ในข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 19 ก.ค. ไม่มีข้อไหนเลยที่เรียกร้องให้ทหารออกมาปฏิวัติ หรือฉีกรัฐธรรมนูญ ซึ่งต่างกับที่ “ผู้ใหญ่” เคยละเลงกันก่อนรัฐประหาร 22 พ.ค.2557
ลูกหลานที่เป็นนักเรียนนิสิตนักศึกษาและเยาวชนเพียงเรียกร้องให้ “ยุบสภา” ให้หยุดคุกคามประชาชนคนเห็นต่าง กับให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่
ทำไมถึงต้องพยายามหาทาง “ดำเนินคดี”!
เรื่องแค่นี้ มีอะไรที่ทำให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. ถึงกับต้องกระโดดลงมาควบคุมกำกับการแสดง ค้นหา พิเคราะห์พยานหลักฐาน เพื่อจะตั้งข้อกล่าวหากับแกนนำและผู้ชุมนุมด้วยตัวเอง
ในวันเวลาที่เปลี่ยนไป ได้สังเกตเห็นแง่มุมจาก “ส.ส.ปชป.” คนหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิม
เทพไท เสนพงศ์ ส.ส.ปชป.นครศรีธรรมราช เห็นว่าการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอกและ สนท.เป็นการแสดงออกในระบอบประชาธิปไตยภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เป็นการชุมนุมในกรอบกฎหมาย ถึงแม้รัฐบาลจะประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ก็ชุมนุมกันอย่างสงบ ไม่มีความรุนแรง
ในสายตาของนักการค้าพาณิชย์อุตสาหกรรม ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย ก็ออกอาการ “หวาดเสียว”
แต่ไม่ได้ “เสียว” ที่เห็นเด็กๆ ออกมาไล่ลุง !
ที่เสียวก็คือ เกรงว่าผู้มีอำนาจจะ “บ้าจี้”
จึงได้กล่าวเตือนฝ่ายความมั่นคงและทหารว่า “อย่าสติแตก” !
การชุมนุมต่อต้าน คัดค้าน หรือขับไล่ใครๆ ก็ตามในโลกนี้ไม่มีคำว่า “ถูกกฎหมาย”
ขึ้นอยู่ “สมอง” ของผู้มีอำนาจที่จะหาเรื่อง ซึ่งเมื่อ “นายสั่ง” ทุกกลไกของฝ่ายบริหารก็จะพร้อมเพรียงกัน “จุดไฟ”
ต่อจากนั้น จะไม่มีใครรู้อนาคต!?!!
