ทพ.ไพศาล กล่าวว่า การประชุมภาคีวิชาชีพในวันดังกล่าว นอกจากนายกทันตแพทยสภาแล้ว ในส่วนทันตแพทยสภายังมีตัวแทนทันตแพทยสภาเข้าร่วมประชุมอีก
2 คน ซึ่งในฐานะผู้แทนองค์กร โดยปกติมีสิทธิที่จะแสดงความเห็นได้ รวมถึงการลงนามในแถลงการณ์ภาคีสภาวิชาชีพ โดยขั้นตอนหลังจากนี้จะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาคณะกรรมการทันตแพทยสภาในการประชุมนัดต่อไป เพื่อขอมติรับรองต่อไป อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ถือเป็นแนวทางปฏิบัติเช่นเดียวกับกรณีที่ทันตแพทยสภามอบ พลโท ศ.พิศาล เทพสิทธา อดีตนายกทันตแพทยสภา เข้าร่วมประชุมบอร์ด สปสช. ซึ่งสามารถแสดงความเห็นในฐานะผู้แทนทันตแพทยสภาได้เช่นกัน“การลงนามร่วมกับภาคีวิชาชีพขณะนี้ยังบอกว่าเป็นความเห็นของคณะกรรมการทันตแพทยสภาไม่ได้ เพราะต้องนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการทันตแพทยสภาก่อนเพื่อให้พิจารณาและยืนยันป็นมติ จากแนวทางปฏิบัติที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหา ซึ่งต้องบอกว่าแถลงการณ์นี้เป็นความเห็นของผู้แทนสภาวิชาชีพที่ได้รับมอบเข้าร่วมประชุม และถือเป็นมติของภาคีสภาวิชาชีพเท่านั้น โดยนายกสภาวิชาชีพที่เข้าร่วมประชุมต่างเห็นด้วย” นายกทันตแพทยสภา กล่าว
ทพ.ไพศาล กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามหลังจากนี้หากที่ประชุมคณะกรรมการทันตแพทยสภาไม่รับรองข้อเสนอแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ ตามแถลงการณ์ของภาคีสภาวิชาชีพ ในการประชุมภาคีสภาวิชาชีพครั้งหน้าก็คงนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมเพื่อแจ้งมติของคณะกรรมการทันตแพทยสภาให้ทราบต่อไป ส่วนภาคีวิชาชีพจะมีความเห็นหรือดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้น เรื่องนี้คงไม่สามารถให้ความเห็นได้
เมื่อถามว่ามีความเห็นอย่างไรกับข้อเสนอแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ ที่ระบุในแถลงการณ์ ทพ.ไพศาล กล่าวว่า พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ บังคับใช้มานานแล้วกว่า
10 ปี ซึ่งที่ผ่านมาได้เห็นปัญหาและอุปสรรคของการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า จึงต้องมีการปรับแก้ อย่างเช่น กรณีมาตรา 42 ที่กำหนดให้ไล่เบี้ยผู้กระทำผิด หลังการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ได้รับความเสียหายจากบริการสาธารณสุข ซึ่งเรื่องนี้ทางสภาวิชาชีพได้คัดค้านตั้งแต่ร่างกฎหมายแล้ว ทางฝ่ายการเมืองเองได้รับปากว่าจะมีการนำมาตรานี้ออก เนื่องจากทำให้เกิดความระแวงและไม่สบายใจในฝ่ายผู้ให้บริการ