เหยี่ยวถลาลม : ความมั่นคงของใคร
ดูเหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่า “ผล” ภายหลังการตัดสินใจจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ สุพล ฟองงาม ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ก็ตัดสินใจไปแล้ว
เดิมทีอนุ กมธ.ครุภัณฑ์ฯโหวตเรื่องการซื้อเรือดำน้ำจีนอีก 2 ลำ วงเงิน 22,500 ล้านบาท แล้ว
มติ 4 ต่อ 4 เท่ากัน
แต่ “สุพล” ยอมใช้ฐานะของ “ประธานอนุคณะกรรมาธิการครุภัณฑ์ฯ” ยกมือให้อีก 1 เสียง จนกลายเป็น “มติเสียงข้างมากเห็นชอบ”
การจัดซื้อเรือดำน้ำจึงฉลุย
“เสียง” คล้ายๆ คำคร่ำครวญวิงวอนให้พิจารณาดูสภาพเศรษฐกิจของประเทศและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่แสนสาหัสมาตั้งแต่รัฐบาลนี้บริหารประเทศ ไม่มีความหมาย
สัปดาห์ที่แล้ว ในทันใดที่ข่าว “คลังถังแตก” อนุ กมธ.ครุภัณฑ์ฯก็ผ่านความเห็นชอบให้ซื้อ “เรือดำน้ำ” ลำที่ 2 และ 3 ภายใต้ข้ออ้าง “ความจำเป็นทางด้านความมั่นคง” ทันที
ตั้งแต่เจอสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ธุรกิจที่ยึดโยงกับการส่งออกและการท่องเที่ยวเหมือนเครื่องยนต์ที่ดับสนิท การลงทุนทรุด โรงงานหยุดผลิต เลิกจ้าง คนตกงานนับล้าน หนี้สาธารณะพุ่งสูง หนี้รัฐบาลก็ท่วม
มีคำถามว่า ถ้าคำนึงถึง “ความมั่นคงของทางเศรษฐกิจ” หรือปากท้องของประชาชน “พลังประชารัฐ” หยุดซื้อเรือดำน้ำเอาไว้ก่อนไม่ได้หรือ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะว่าอะไรไหมถ้าหาก นายสุพล ฟองงาม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐซึ่งเป็น “ประธานคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ฯ” ในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ไม่ใช้สิทธิ 1 เสียงโหวตเพื่อให้เรือดำน้ำผ่านฉลุย
ด้วยมือของ “สุพล” เรือดำน้ำอีก 2 ลำจึงผ่านมติเห็นชอบอนุ กมธ. ในขณะที่ “คลังถังแตก” ผู้คนทั่วประเทศกำลังประสบกับความเดือดร้อนจากภาวะเศรษฐกิจ
ไม่มีแผนงานใดที่ให้ความมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะฟื้นได้ในปีสองปีนี้ บัญชีรับ-จ่ายก็ไม่มีอนาคต
การเดินหน้าจะเอา “เรือดำน้ำ” ให้ได้เหมือนเติมเชื้อไฟให้กับสถานการณ์ที่กำลังย่ำแย่
จีนเป็นจุดเริ่มต้นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ประสบปัญหาทั้งการนำเข้าและส่งออก
ทำไมจะเจรจาความกันไม่ได้ว่า ขอหยุดการใช้เงินซื้อเรือดำน้ำก่อนได้ไหม ประชาชนของเรากำลังจะอดตาย !?!!