กรณี นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายนริศ ภูมิภาคพันธ์ นายอุทิศ กุฏอินทร์ อาจารย์คณะวนศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร.อ.นายแพทย์ปัญญา ยังประภากร ฟาร์มจระเข้ทองการเกษตร และผู้บริหารลงพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน บริเวณหมู่บ้านวังข่า โป่งลึก จังหวัดเพชรบุรี เก็บไข่จระเข้น้ำจืดสายพันธุ์ไทย(Siamese Crocodile) ชื่อวิทยาศาสตร์ (Crocodylus siamensis) จำนวน 27 ฟอง นำมาฟักในตู้ฟักห้องปฏิบัติการของฟาร์ม เตรียมการปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติ เพื่อรักษาความหลากหลายทางพันธุกรรมของจระเข้น้ำจืดสายพันธุ์ไทย (Siamese Crocodile) ต่อไป โดยบอกด้วยว่า สาเหตุที่จะต้องนำไปฟักในห้องปฏิบัติการ เพราะ บริเวณที่จระเข้มาวางไข่นั้นมีน้ำหลาก หากปล่อยเอาไว้ไข่อาจจะเน่าได้ อีกทั้งอาจจะถูก ตัวนาก ตัวเหี้ย หรือ กิ้งก่า และ นกบางชนิดเข้ามากินได้ โดย เมื่อ 3 ปีก่อน กรมอุทยานฯ โดยอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ก็เคยเก็บไข่จระเข้จากบริเวณเดียวกันนี้ได้ แล้วเอาไปฟักได้แล้วถึง 7 ตัว อยู่ที่ประภากรฟาร์ม ทุกตัวอยู่ในสภาพสมบูรณ์แข็งแรง ลำตัวยาวประมาณ 1.5 เมตร แล้ว พร้อมที่จะปล่อยคืนสู่ธรรมชาติที่แม่น้ำเพชรบุรีเร็วๆนี้ ถือเป็นความสำเร็จในการฟื้นฟูจระเข้สายพันธุ์ไทย ที่เกือบตะหายไปจากธรรมชาติ ให้กลับคืนมาอีกครั้ง
กรณีดังกล่าว ทำให้ นายสมัคร ดอนนาปี อดีตผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ ได้ออกมาโพสเฟชบุ๊ค ตั้งคำถามว่า ไข่จระเข้เมื่อสามปีที่แล้ว รอดเจ็ดตัว เอาไปจากในเขคอุทยานฯ แก่งกระจานหรือเปล่า เอาไปได้อย่างไร เอาไปกี่ครั้ง ครั้งละกี่ฟอง เจ็ดตัวที่ว่า เอามาสวมแบบสวมตอไม้หรือเปล่า เท่าที่ผมทราบ เอาไปจากเขตอุทยานฯ โดยไม่ได้ขออนุญาต ตายเกือบหมด อยู่ดี ๆ รอดมาเจ็ดตัว ทำไมถึงเพิ่งมีข่าวนั้น
วันที่ 1 สิงหาคม นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการส่วนต้นน้ำ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1(ปราจีนบุรี) และอดีต หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กล่าวว่า เมื่อปี 2556 ตนได้ทำหนังสือ ที่ ทส.0910.19/1625 ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2556 เพื่อขออนุญาต นายมโนพัศ หัวเมืองแก้ว อธิบดีกรมอุทยานฯในขณะนั้น เพื่อเก็บและนำไข่ขระเข้มาฟักที่ห้องปฏิบัติการ และนายมโนพัศ ก็ได้อนุญาต พร้อมทั้ง แต่งตั้งกรรมการตรวจสอบ ควบคุม กำกับดูแล การดำเนินการนำไข่จระเข้น้ำจืด ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานไปฟักในห้องปฏิบัติการ มีหลักฐานเอกสารชัดเจน
“การดำเนินการ เราก็ทำตามหลักวิชาการทุกอย่าง ถามว่าทำไม ไม่ปล่อยให้มันอยู่ตามธรรมชาติ ก็เพราะที่ผ่านมา มันอยู่แบบนี้ ออกไข่บริเวณนี้ โอกาสที่จะฟักออกมาเป็นตัว และใช้ชีวิตตามธรรมชาติ มีโอกาสน้อยมาก เพราะถูกสัตว์อื่นรบกวน จนจระเข้น้ำจืดพันธุ์ไทยอยู่ในสภาพใกล้สูญพันธุ์อย่างขณะนี้ ทั้งนี้การดำเนินการที่ทำกันนั้น ไม่ใช่ความคิดของกรมอุทยานฝ่ายเดียว แต่มีนักวิชาการ รวมทั้งชาวบ้านในพื้นที่เข้าไปมีส่วนร่วมด้วยตลอด”นายชัยวัฒน์ กล่าว