เหยี่ยวถลาลม : ไม่ใช่แค่เรื่องส้วมๆ
เดิมทีเดียวในวันนี้ว่ากันว่า ผู้มาชุมนุมกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน จะไม่มีที่จะเยี่ยวจะขี้
ปกรณ์ พรชีวางกูร 1 ในผู้มากด้วยน้ำใจที่สนับสนุนเรื่องรถห้องน้ำได้โพสต์ในเฟซบุ๊กแจ้งข่าวล่วงหน้าว่า ประกาศครับ! เราจะไม่มีรถห้องน้ำให้ใช้แล้วนะครับ เนื่องจากทางบริษัทรถห้องน้ำถูกเจ้าหน้าที่ยกพลบุกไปทุกวัน และไปทั้งวัน จนล่าสุดได้แจ้งกับทางบริษัทรถห้องน้ำว่า ถ้ารับงานนี้จะแจ้งข้อหาดำเนินคดี
เจอเข้าแบบนี้คนทำมาค้าขายก็ต้องถอย!
ที่ชวนให้ “สงสัย” คือเรามีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษที่เรียกว่า “กทม.” เอาไว้ทำไม
“กทม.” มีหน้าที่ดูแลเมืองกับรับใช้ประชาชน ไม่ใช่ทำตัวเป็น “จระเข้ขวางคลอง” !
ส่วน “เจ้าหน้าที่” ที่ยกพลขึ้นบกบุก “บริษัทรถห้องน้ำ” นั้นเชื่อว่าสิ่งที่ได้กระทำลงไปก็คงจะ “ขัด” กับสามัญสำนึก
การข่มขู่คุกคามจะดำเนินคดีกับบริษัทรถห้องน้ำ เพื่อไม่ให้ผู้มาชุมนุมได้เยี่ยวได้ขี้คงจะไม่ใช่วิสัยของปุถุชนทั่วไป
เจ้าหน้าที่เหล่านั้นคงจะถูกข่มขู่จากผู้บังคับบัญชามาอีกชั้นหนึ่ง เป็นวัฒนธรรมการใช้อำนาจที่คุกคามกันตามลำดับซึ่ง “ผู้มีอำนาจ” มักจะกระทำกับผู้ที่อ่อนแอกว่า
การคุกคาม กลั่นแกล้ง รังแกผู้ชุมนุมด้วยวิธีการต่างๆ จึงเป็นความปกติในความป่าเถื่อน!
แต่ที่การชุมนุม 14 ตุลา 2563 จะต้องเตรียมรับมือนั้นไม่ใช่แค่เรื่องส้วมๆ
ที่ต้องระวังคืออันตรายซึ่งการปลุกปั่นมวลชนให้เผชิญหน้า การสร้างเงื่อนไขจาก “มือที่มองไม่เห็น” เพื่อที่จะปูทางไปสู่การใช้ความรุนแรงเข้าปราบปราม
14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519 คือ บทเรียน
สิ่งที่ทุกคนไม่เชื่อว่าจะเกิด-ก็เกิด
ใครที่เคยคิดว่า “พุทธศาสนิกชน” ไม่โกหกมดเท็จ ไม่บิดเบือนไม่พูดจาใส่ร้ายป้ายสี ชอบเข้าวัดเข้าวาทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา ไถ่ชีวิตโคกระบือ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ในวันที่ 6 ตุลา 2519 ในมหาวิทยาลัย กลางสนามหลวงและกลางถนนรุม “ฆ่า” นิสิตนักศึกษาประชาชนรุ่นลูกรุ่นหลานกันอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนและเมามัน
มาถึงวันนี้ล่วงมาเกือบครึ่งศตวรรษ ยืนยันได้ว่า “ไทยยังไม่เปลี่ยน”
“ความรุนแรง” ที่เคยเกิดขึ้นทั้งหลายในประวัติศาสตร์ ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ตราบเท่าที่ทหารตำรวจยังคงยินยอมรับคำสั่ง “ใช้ปืนจริง-กระสุนจริง” ยิงใส่ประชาชน !?!!