ศิลปินเพลงแร็พกลุ่ม “แร็พต้านเผด็จการ” หรือกลุ่ม RAD เพิ่งปล่อยเพลงชื่อ “ปฏิรูป” ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางเคลื่อนไหวของกลุ่ม “ราษฎร” ออกมา
ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ประพันธ์บทเพลง “สู้เพื่อแผ่นดิน” ปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ประกบทันท่วงที
ขณะที่เด็กๆ เยาวชนรุ่นลูกหลานรับไม่ได้กับพฤติกรรมทางการเมืองของประยุทธ์กับพวก รวมตัวกันชุมนุมขับไล่อยู่ทุกวัน บทเพลง “สู้เพื่อแผ่นดิน” ของประยุทธ์กลับอวดโอ่ว่า “เสียงหัวใจบอกให้ทำเพื่อแผ่นดิน”
ประยุทธ์ยังยืนยัน “ฉันตั้งใจสู้เพื่อแผ่นดิน”
นี่เรียกว่า เลยเถิดจาก “อัตตวิสัย” !
การเอาคำว่า “สู้เพื่อแผ่นดิน” หรือ “ทำเพื่อแผ่นดิน” มาอวดอ้างสร้างราคาให้กับตัวเองคือภาวะ “อุปาทาน” อย่างหนัก
หลงทางอยู่ในเขาวงกตแห่งอำนาจ !
เทียบกันได้หรือกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่มีบทบาทสำคัญทำให้เกิด “นโยบาย 66/2523” ซึ่งส่งผลถึงการยุติ “สงครามประชาชน” ที่กองทัพไทยต้องรบกับกองทัพชาวบ้าน (กองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย) มาเป็นเวลานานปี
ผลจากการยุติของสงครามประชาชนคือสังคมไทยได้เปิดพื้นที่ให้การต่อสู้ทางอุดมการณ์ได้กระทำกันบนดิน สู้อย่างเปิดเผยด้วยแนวทางสันติวิธี
จะว่าไปแล้วสภาพแวดล้อมแบบนี้น่าจะนำพาไปสู่พัฒนาทางการเมืองที่ดี
หากแต่ภายหลังการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยและการทยอย “จากป่าคืนสู่เมือง” ของผู้คน “ความรุนแรงทางการเมือง” กลับมีปรากฏในรูปของ “รัฐประหาร”
บนเวทีการเมืองไทยยังคงเหลือเพียง “กองทัพไทย” เท่านั้นที่ยังคงใช้ “อาวุธ” และ “ความรุนแรง”
การทำรัฐประหาร คือความป่าเถื่อนทางการเมือง !
ผู้ก่อการรัฐประหารมีโทษอาญาถึงขั้น “ประหารชีวิต”
“รัฐประหาร” ไม่ใช่ผลงาน ไม่ใช่ความชอบ ไม่สามารถจะยกขึ้นมาอวดอ้างได้เลยว่า ทำเพื่อแผ่นดิน หรือทำเพื่อใคร
การต่อต้านรัฐประหาร ต่อต้านการใช้กำลังพลรบและต่อต้านการใช้อาวุธเข้าปราบปรามประชาชนที่ชุมนุมต่อสู้เรียกร้องโดยสันติจึงเป็น “ความชอบธรรม”
ทว่าในสังคมไทย บ่อยครั้งที่ “วาทะกรรม” สามารถเปลี่ยน “ผิดให้เป็นชอบ”
วาทกรรมสามารถทำลาย “คนดี” ให้เป็น “ผู้ร้าย”
เห็นผิดเป็นชอบ
คนที่ทำลายระบบที่ก่ออาชญากรรมแปลงโฉมเป็น “วีรชน” ได้
ส่วนที่เป็น “วีรชน” แท้ๆ เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทย เป็นรัฐบุรุษผู้ซึ่งช่วยให้ไทยไม่ต้องตกเป็นประเทศแพ้สงครามอย่าง “ปรีดี พนมยงค์” กลับถูกเนรคุณ !?!!