ครั้งที่ไทยยังสู้รบด้วยกำลังอาวุธกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ยืดเยื้อและยาวนานนั้น เป็นที่ยอมรับว่า รัฐเผด็จการกับระบบความคิดขวาจัดสุดขั้วเป็น “ปัจจัยสำคัญ” ทำให้ “พคท.” เติบโต
เมื่อ “ภัย” ใกล้จะถึงตัวสัญชาตญาณก็ทำหน้าที่ปลุกให้ตื่น
จึงเกิด “นโยบาย 66/23” ลงวันที่ 23 เมษายน 2523 หรือ “นโยบายต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์”
66/23 เป็นแนวทางใหม่ ไม่ใช่สู้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
เพื่อที่จะยุติสงครามกับ พคท. รัฐไทยจำต้องกลับหลังหัน คิดและทำตรงข้ามกับอดีต
เช่นว่า ทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนปรากฏจริงๆ ด้วยการ แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ปรับปรุงสมาชิกภาพของวุฒิสภาให้เป็นประชาธิปไตย แก้ไขกฎหมายเลือกตั้งให้เป็นประชาธิปไตย แก้กฎหมายพรรคการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยรวมทั้งยกเลิกประกาศและคำสั่งต่างๆ ที่ขัดต่อเสรีภาพของปวงชน ฯลฯ
นโยบาย 66/23 บรรยายและตั้งเข็มมุ่งว่า สงครามปฏิวัติของ พคท.ทำความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาล ทำความเสียหายทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมอย่างร้ายแรงเป็น “อุปสรรค” ที่ประเทศจะก้าวไปสู่ระบอบประชาธิปไตย
และที่สำคัญยิ่งกว่าอื่นใดก็คือ ถ้ารัฐแพ้สงคราม พคท.ก็จะยึดประเทศและเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์
ในวันนั้น “กระจ่างชัด” ว่า ถ้าเผด็จการกับขวาจัดยังคงดื้อด้านดันทุรังต่อไป “รัฐไทย” อาจแพ้สงครามก็เป็นได้
แนวทางการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์จึงต้อง “สวนทาง” กับอดีต
พคท.ใช้การต่อสู้ด้วยอาวุธ-รัฐไทยใช้การต่อสู้ทางสันติ
นโยบาย 66/23 เปลี่ยนแนวการต่อสู้ของรัฐไทยไปอย่างสิ้นเชิง
เดินหน้ามาตรการรุกทางการเมืองเป็นหลัก
“รุก” ทางการเมืองด้วย “มาตรการประชาธิปไตย” ด้วยการ “ขยายอธิปไตยของปวงชน” กับ “ขยายเสรีภาพของบุคคล”
เมื่อกว่า 40 ปีก่อน รัฐบาลไทยเคยตื่นแล้ว-เห็นแล้วว่าการใช้ “กฎหมาย” กดหัวคนกับการใช้ “กองทัพ” ที่พร้อมด้วยสรรพกำลังและอาวุธเข้าปราบปรามคนเห็นต่างอุดมการณ์นั้น “เป็นแนวร่วมมุมกลับ” ทำให้คอมมิวนิสต์เติบโต
มาถึงวันนี้ไม่มีแล้ว “ผีคอมมิวนิสต์”
มีแค่ “คนเห็นต่าง” ที่ขัดแย้งต่อสู้กันในระบอบประชาธิปไตย
แต่มีรัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตย มีวุฒิสภาไม่เป็นประชาธิปไตย มีกฎหมายเลือกตั้งที่พิกลพิการ
“คนเห็นต่าง” กำลังถูกคุกคามไล่ล่าด้วยกฎหมายและคำสั่งที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ
รังสีอำมหิตกำลังแผ่ปกคลุม คล้ายยุค “ขวาจัด” ครองเมือง !?!!