ศบค. เผย โควิดไทยรายใหม่ 194 คน กระจายใน 51 จว. ‘หนองคาย-กาญจนบุรี’ ไม่รอด!

ศบค. เผย โควิดไทยรายใหม่ 194 คน กระจายใน 51 จว. ‘หนองคาย-กาญจนบุรี’ ไม่รอด!

เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ที่ ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)(ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย ว่า

ในวันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 194 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 181 ราย ติดเชื้อในกลุ่มแรงงานต่างด้าวจากการคัดกรองเชิงรุก 9 ราย และผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกันโรค(Quarantine) 13 ราย รวมสะสม 6,884 ราย แบ่งเป็นการติดเชื้อในประเทศ 4,869 ราย กลุ่มแรงงานต่างด้าว 1,392 ราย รักษาหายแล้ว 4,240 ราย ยังอยู่ในโรงพยาบาล(รพ.) 2,583 ราย สะสมที่ 61 ราย พบผู้ติดเชื้อในประเทศกระจายใน 51 จังหวัด คือ หนองคาย มหาสารคาม และกาญจนบุรี

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ผู้ป่วยรายใหม่ของไทยเคยพุ่งสูง 250 ราย วันนี้รายงานลดลงแต่ยังไม่น่าไว้วางใจ โดยผู้ป่วยรายใหม่วันนี้ แบ่งเป็น 1.กลุ่มที่มาจากระบบเฝ้าระวังและบริการ 172 ราย ได้แก่ เชื่อมโยงกับสมุทรสาคร 11 ราย พบในนนทบุรี 7 ราย ราชบุรี มหาสารคาม นครศรีธรรมราช หนองคายจังหวัดละ 1 ราย เชื่อมโยงระยอง 1 ราย พบในกรุงเทพมหานคร(กทม.) มีประวัติสถานบันเทิง ชุมชน อาชีพเสี่ยง 32 ราย พบใน กทม. 18 ราย นนทบุรี 5 ราย ตาก 5 ราย ส่วนปทุมธานี ราชบุรี กาญจนบุรีและสมุทรปราการ จังหวัดละ 1 ราย อยู่ระหว่างสอบสวนโรค 128 ราย พบใน สมุทรสาคร 20 ราย ฉะเชิงเทรา 1 ราย จันทบุรี 5 ราย ตราด 3 ราย ชลบุรี 16 ราย ระยอง 77 ราย สมุทรปราการ 6 ราย ซึ่งขอเวลาทำให้ทีมสอบสวนโรค เพื่อข้อมูลที่ชัดเจน 2.กลุ่มแรงงานต่างด้าว 9 ราย พบในนนทบุรี 1 ราย สมุทรสาคร 8 ราย 3.กลุ่มผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกันโรค 13 ราย ได้แก่ ตุรกี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประเทศละ 2 ราย ส่วนฮ่องกง แคนาดา สหราชอาณาจักร มาเลเซีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น คูเวต และรัสเซีย ประเทศละ 1 ราย

“ จะพบว่ากระจาย 51 จังหวัด ขอใช้วีเพื่อสื่อสาร โดยจังหวัดสีแดงที่พบผู้ป่วยมากกว่า 51 รายขึ้นไปจะกระจุกตัวที่ กทม. ชลบุรี และระยอง ส่วนสีส้มจะพบที่ขอบชายแดนและภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนร่วมมือกับผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะเกณฑ์จำแนกพื้นที่ 4 ความเสี่ยง โดยจะมีความเปลี่ยนแปลงทุกวัน ขอให้อีก 26 จังหวัดที่ยังไม่พบผู้ป่วย ให้เข้มมาตรการเหมือนที่เราเคยทำได้เมื่อต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งที่สุดแล้วในตอนนั้นพบ 8-9 จังหวัดที่ไม่พบผู้ป่วย” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สถานการณ์ต่างประเทศพบป่วยรายใหม่ 719,174 ราย สะสมที่ 83,060,536 ราย เสียชีวิตเพิ่มรายใหม่ 14,748 ราย สะสมที่ 1,812,050 ราย โดย 5 อันดับประเทศที่พบป่วยมากที่สุดคือ สหรัฐอเมริกา อินเดีย บราซิล รัสเซีย และฝรั่งเศสตามลำดับ ส่วนไทยขยับอันดับขึ้นมาอยู่ที่ 139 ซึ่งตัวเลขถอยลง อันดับต้น ๆ จะไม่ดี ส่วนประเทศเพื่อนบ้าน อย่างมาเลเซีย พบผู้ป่วยรายใหม่ 1,870 ราย เมียนมา 587 ราย ภาวนาให้เขาคบคุมได้อย่างดี ตัวเลขลดลงเป็นเรื่องที่ดี เราจะได้สบายใจกันทั้ง 2 ฝ่าย

ADVERTISMENT

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า ข่าวต่างประเทศพบว่าเกาหลีใต้ พบผู้ป่วยสะสมทะลุ 6 หมื่นราย มียอดมากกว่า 1 หมื่นรายภายใน 10 วัน นับเป็นการติดเชื้อระลอกที่ 3 มีความรุนแรงที่สุดที่เคยเผชิญ ทางการจึงประกาศเว้นระยะห่างที่เข้มงวดมากขึ้นและอาจจะล็อกดาวน์ หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ส่วนญี่ปุ่นจะใช้มาตรการที่แรงขึ้นด้วยการเตรียมประกาศล็อกดาวน์ หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น เป็นการติดเชื้อระลอกใหม่ โดยห้ามนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม – 31 มกราคม เนื่องจากพบผู้ติดเชื้อใหม่ 3,352 รายในวันเดียว

เมื่อถามถึงการนำเสื้อผ้ามือสองจะเป็นการนำเชื้อโควิด-19 เข้าประเทศได้หรือไม่ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ไม่ใช่เพียงโควิด-19 แต่เป็นทุกครั้งของฤดูหนาวจะมีเชื้อไวรัสอื่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อราหมักหมมในเสื้อผ้า ทั้งนี้กรมอนามัย ของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) จะแนะนำว่าก่อนนำมาใช้ ให้ซักล้าง ผึ่งแดด หลาย ๆ แดด ให้อุณหภูมิฆ่าเชื้อโรค รวมถึงยูวีในแดดทำให้ไวรัสไม่สามารถอยู่ได้ ดังนั้นหากจำเป็นต้องใช้ ก็ต้องรักษาความสะอาด ขณะที่หน้ากากทางการแพทย์ก็ไม่ควรใช้ซ้ำ หน้ากากชนิดผ้าก็จะต้องซักและผึ่งแดดฆ่าเชื้อโรค โดยเฉพาะเส้นใยยิ่งซักบ่อย ยิ่งมีความนุ่ม

ส่วนของสถานออกกำลังกายที่ไม่ดำเนินตามมาตรการป้องกันโรค ยังมีการตะโกนหรือไม่สวมหน้ากากอนามัย ศบค. หรือเจ้าหน้าที่จะเข้าไปควบคุมอย่างไร นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า เรารายงานอยู่บ่อย โดยทีมของ ศปม. เข้าไปประเมินเป็นระยะ หากมีผู้พบเห็นพฤติกรรมเช่นนี้ให้แจ้งมาได้ อย่างไรก็ตาม ทุกคนจะต้องให้ความร่วมมือ รู้ว่าเป็นหน้าที่ ด้วยการอยู่ห่างไว้ ใส่แมสก์กัน หมั่นล้างมือ วัดอุณหภูมิร่างกาย และลงทะเบียนไทยชนะ ทำความสะอาดพื้นที่ ที่ไม่ใช่เพียงฟิตเนสแต่ต้องเป็นสถานประกอบการทุกแห่ง ซึ่งหากมีการติดเชื้อและสอบสวนโรคพบว่าติดจากสถานประกอบการใด ก็สามารถสั่งปิดได้ทันที