กรมสุขภาพจิตเผย ปี 63 อัตราฆ่าตัวตายของไทยต่ำกว่าตัวเลขประมาณการ

กรมสุขภาพจิตเผย ปี 63 อัตราฆ่าตัวตายของไทยต่ำกว่าตัวเลขประมาณการ

วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2564) พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อประชาชนในทุกประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิต เศรษฐกิจ และสังคม รวมถึงอัตราการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายที่สูงขึ้นในหลายประเทศ กรมสุขภาพจิตเคยทำการศึกษาเพื่อประมาณการอัตราการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายของประเทศไทยเมื่อต้นปี 2563 พบว่าจากสภาพของปัญหาการระบาดของโรคอุบัติใหม่ที่รุนแรงทั่วโลกและแนวโน้มการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป อาจเพิ่มอัตราการเสียชีวิตจากปี 2562 ที่ 6.64 ต่อแสนประชากรต่อปี เป็น 8.00 ต่อแสนประชากรต่อปีในปี 2563 แต่เมื่อรวบรวมและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลอย่างละเอียดแล้วพบว่า ตัวเลขของผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายปี 2563 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 7.35 ต่อแสนประชากรต่อปี สูงกว่าปีก่อนเล็กน้อย แต่ต่ำกว่าที่เคยประมาณการไว้

พญ.พรรณพิมล กล่าวว่า เมื่อย้อนกลับไปช่วงวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยเคยผ่านมาก่อน เช่น วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งปี 2541 อัตราการฆ่าตัวตายของคนไทยเท่ากับ 8.12 ต่อแสนประชากร และเพิ่มขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ภายหลังวิกฤต คือ ปี 2542 และ ปี 2543 พบอัตราการฆ่าตัวตายเท่ากับ 8.59 และ 8.40 ต่อแสนประชากรตามลำดับ ซึ่งหลังจากนั้นประเทศไทย โดย สธ.ได้เริ่มมาตรการในการป้องกันฆ่าตัวตายอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง จนอัตราการฆ่าตัวตายเฉลี่ยอยู่ที่ 6.00 – 6.60 ต่อแสนประชากรต่อปี ซึ่งเมื่อเทียบกับวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ครั้งนี้ ที่ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อภายในประเทศยังมีผลกระทบจากทั่วโลกที่ส่งมาถึงประเทศไทยทางอ้อมอีกด้วย

“อัตราการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายที่ต่ำกว่า 8 ต่อแสนประชากรนั้น เป็นจุดสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจของประชาชนด้านสุขภาพจิตที่ดีมากขึ้น ความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในการแก้ไขปัญหาฆ่าตัวตาย และการดำเนินงานผ่านมาตรการต่างๆ ของภาครัฐที่ส่งตรงไปถึงประชาชนเป็นระยะอย่างได้ผล และสามารถบรรเทาความเดือดร้อนและความวิตกกังวลได้ในระดับหนึ่ง โดยในช่วงที่
ผ่านมา และหลังจากนี้ สธ.มีมาตรการสำคัญ 3 ประการ ในการดูแลประชาชนอย่างต่อเนื่อง คือ

1.มาตรการเฝ้าระวังผู้มีปัญหาด้านสุขภาพจิต โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย ด้วยการสำรวจจิตใจของประชาชนทั้งประเทศเป็นระยะ ผ่านระบบ Mental Health Check In เพื่อนำความช่วยเหลือไปสู่ประชาชนได้อย่างทันท่วงทีโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเปราะบาง

Advertisement

2.ดำเนินงานต่อเนื่องผ่านคณะทำงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขการฆ่าตัวตายแห่งชาติ เพื่อให้เกิดการช่วยเหลือประชาชนแบบบูรณาการทุกกระทรวงทั้งด้าน สุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม

3.จัดทีมช่วยเหลือประชาชนในระยะวิกฤตทางจิตใจกระจายครบทุกอำเภอ หรือ ทีม MCATT (Mental Health Crisis Assessment and Treatment Team) เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนอย่างครอบคลุมและทันท่วงที

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอัตราการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายของประเทศไทยจะต่ำกว่าค่าประมาณการที่เคยทำการศึกษาไว้ แต่กรมสุขภาพจิตยังมุ่งลดอัตรานี้ให้ลดลงได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในทุกๆ ปี เนื่องจากเป็นการสูญเสียที่กระทบกระเทือนจิตใจของประชาชนและคนรอบข้างของผู้เสียชีวิต ทั้งยังเป็นความสูญเสียที่เราช่วยกันป้องกันได้” พญ.พรรณพิมล กล่าว

Advertisement

ทั้งนี้ พญ.พรรณพิมล กล่าวว่า ความเข้าใจและความช่วยเหลือกันของประชาชนจะเป็นอีกหนึ่งในกุญแจสำคัญในการลดอัตราการฆ่าตัวตายในปีถัดไป โดยกรมสุขภาพจิตจะดำเนินการอย่างเต็มศักยภาพต่อเนื่อง เพื่อลดความสูญเสียของประชาชนให้ได้มากที่สุด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image